โรคแพ้ภูมิคุ้มกันร่างกายตัวเอง ( SLE ) คนไทยชอบเรียกโรคนี้ว่า โรคพุ่มพวง เกิดจากฮอร์โมนร่างกายผิดปรกติ มีไข้สูง มีผื่นขึ้นบนหน้า ผมร่วง มีแผลในปาก ปวดตามข้อโรคเอสแอลอี โรคพุ่มพวง โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง โรคไม่ติดต่อ

โรคภูมิแพ้ตัวเอง เป็นโรคที่หลายๆคนรู้จักกันในชื่อ โรคลูปัส หรือ โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวง ทางการแพทย์เรียก Systemic lupus erythematosus เกิดจากการสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายผิดปรกติ เกิดผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย และ เกิดการอักเสบเรื้อรัง เช่น เกิดการอักเสบของข้อและกระดูก กล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด ระบบเลือด โรคนี้จึงจัดอยู่ในโรคเรื้อรังโรคหนึ่งคำ จากสถิติของการเกิดโรคเอสแอลอี พบว่าเพศหญิงมีอัตราการเกิดโรคมากกว่าเพศชาย มากถึง 7 เท่า แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยจะพบว่าในผู้ป่วยที่มีผิวดำจะมีอัตราการเกิดที่สูงที่สุด รองลงมาเป็น หญิงเอเชีย และ หญิงผิวขาวตามลำดับ

สาเหตุของการเกิดโรคเอสแอลอี

ในปัจจุบันการศึกษาทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดโรคได้อย่างแน่ชัดนัก แต่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม ระบบฮอร์โมนของร่างกาย และ ภาวะการติดเชื้อโรค เราสามารถสรุปปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสของการเกิดโรค มีดังนี้

  • เพศ เราพบว่าโรคนี้เกิดกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
  • การติดเชื้อโรงบางอย่าง ทั้ง เชื้อไวรัส และ เชื้อแบคทีเรีย
  • การใช้ชีวิตอยู่ในที่แจ้ง และถูกกระทบจากแสงแดดเป็นเวลานาน
  • การแพ้อาหารบางชนิด
  • การสูบบุหรี่
  • ความผิดปรกติของฮอร์โมนเพศหญิง
  • การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจากการตั้งครรภ์
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดน้ำหนัก ยากันชัก ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
  • การอยู่ในภาวะความเครียดเป็นเวลานาน
  • การพักผ่อนน้อย
  • การออกกำลังกายมากเกินไป

อาการของโรคเอสแอลอี 

ลักษณะของอาการของโรคแอสแอลอี นั้น อาการจะเกิดขึ้นแบบกระทันหัน และ เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย เช่น มีไข้สูง มีผื่นขึ้นบนหน้า ผมร่วง มีแผลในปาก ปวดตามข้อ เราจะแยกลักษณะของอาการโรคเอสแอลอีให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นมีดังนี้

  • เกิดความผิดปรกติที่ผิวหนัง โดยเฉพาะการเกิดผื่นที่โหนกแก้ม สันจมูก และ เป็นแผลในปาก จะมีลักษณะของอาการผมร่วงร่วมด้วย
  • เกิดความผิดปรกกติที่ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการข้ออักเสบอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะตามข้อเล็กๆ
  • เกิดความผิดปรกติที่ไต โดยสังเกตุจาก การปัสสาวะเป็นฟอง มีโปรตีนปนนปัสสาวะ
  • เกิดความผิดปรกติที่ระบบเลือด ทำให้ร่างกายมีภาวะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ตัวซีด และพบจ้ำเลือดตามตัว
  • เกิดความผิดปรกติที่ระบบประสาท จะพบว่า มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง แขนขาอ่อนแรง มีอาการชัก
  • เกิดความผิดปรกติที่ระบบทางเดินหายใจ เป็นอาการของผู้ป่วยที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการแน่นหน้าอก มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด และ เกิดการอักเสบของปอด และการติดเชื้อง่าย
  • เกิดความผิดปรกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด พบว่าผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย เนื่องจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
  • เกิดความผิดปรกติของระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง กินอาหารไม่ได้

การรักษาโรคเอสแอลอี

สำหรับการรักษาโรคเอสแอลอี นี่น ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้ให้หายขาด เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัดนัก สิ่งที่ทำได้ คือการรักษาตามอาการและประคับประครองไม่ให้ แต่ที่สำคัญต้องพักผ่อนให้มากๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาเอง โดย รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ โดยข้อควรปฎิบัติสำหรับการรักษาโรค มีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด เช่น ไม่ตากแดดนานๆ ลดความเครียด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ซื้อยามารับประทานเอง ออกกำลังกายอย่งสม่ำเสมอ และ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยยาส่วนมากจะเป็น ยากดภูมิคุ้มกัน ยาต้านอาการอักเสบ ยาแก้ปวด เป็นต้น

การรักษาตัวโรคเอสแอลอี นั้นต้องพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรง เราจึงได้ทำรายการข้อควรปฏิบัติตนของผู้ป่วยโรคเอสแอลอี มีรายละเอียดดังนี้

  • เมื่อจำเป็นต้องออกแดดเป็นเวลานาน ให้ใส่เครื่องป้องกัน เช่น เสื้อแขนยาว หมวก และ พกร่มด้วย  พักผ่อนให้เพียงพอ
    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • นอนหลับ และ พักผ่อนให้พียงพอ รวมถึงหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียดบ้าง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลเซียมสูง
  • ไม่ควรกินยาลดความอ้วน
  • หากร่างกายเกิดอาการผิดปรกติ เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น มีหนองตามผิวหนัง เสมหะเขียว ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ด่วย
  • หากต้องทำฟัน ให้ระวังเรื่องการติดเชื้อ โดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำฟัน
    หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะทำให้ร่างกายติดเชื้อทั้งหมด

การรักษาโรคเอสแอลอี นั้น ความสำคัญอยู่ที่การดูแลตัวเองของผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยเอสแอลอีมีโอกาสเสี่ยงการเสียชิวิตได้ เช่น การเกิดภาวะอักเสบของอวัยวะในร่างกายอย่างรุนแรง และรับการรักษาไม่ทัน หรือ การเลือกใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง การปรึกษาแพทย์จะเป็นส่วนที่ทำให้ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตได้มาก

โรคแพ้ภูมิคุ้มกันร่างกายตัวเอง ( SLE ) โรคพุ่มพวง โรคลูปัส โรคเอสแอลอี มีไข้สูง มีผื่นขึ้นบนหน้า ผมร่วง มีแผลในปาก ปวดตามข้อ เกิดจากความผิดปรกติของระบบฮอร์โมนร่างกาย ส่งผลกระทบต่ออวัยวะในร่างกายหลายๆส่วน

หลอดลมอักเสบ ( Bronchitis ) เกิดจากการติดเชื้อ อาการไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ หายใจเสียงดัง พบบ่อยในเด็ก ผลข้างเคียงจากภูมิแพ้ หืดหอบ สูบบุหรี่โรคหลอดลมอักเสบ โรคติดเชื้อ โรคทางเดินหายใจ โรคติดต่อ

หลอดลมอักเสบ ภาษาอังกฤษ เรียก Bronchitis เป็นโรคติดเชื้อที่หลอดลม เกิดกับเด็กเป็นส่วนมาก โรคนี้เป็นการการติดเชื้อบริเวณหลอดลม เป็นอวัยวะที่อยู่ลึกลงไปจากกล่องเสียงไปยังปอดส่วนล่าง โรคหลอดลมอักเสบ เป็นโรคที่พบบ่อย กล่าวได้ว่า เป็น โรคเด็ก คนช่วยอายุ 9 ถึง 15 ขวบ มีอัตราการเกิดโรคนี้มากที่สุด

สาเหตุของการเกิดโรคหลอดลมอักเสบ

เราสามารถแยกสาเหตุของโรคหลอดลมอักเสบได้ 2 กรณี คือ หลอดลมอักเสบแบบเฉียบพลัน และหลอดลมอักเสบแบบเรื้อรัง รายละเอียด ดังนี้

  • สาเหตุของหลอดลมอักเสบ ชนิดเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น rhinovirus, adenovirus, corona virus, influenza virus, parainfluenza virus, respiratory syncytial virus (RSV) เป็น ชนิดเหมือนกับไข้หวัด หลอดลมอักเสบชนิดนี้ จะเกิดหลังจากเป็นไข้หวัด หากไม่รักษาอย่างถูกต้อง การติดเชื้อลามไปสู่หลอดลม  หากเป็นหวัด และมีอาการไอ มีเสมหะ นานกว่า 7 วัน มีโอกาสเกิดโรคหลอดลมอักเสบแบบเฉียบพลัน
  • สาเหตุของหลอดลมอักเสบ ชนิดเรื้อรัง เป็นการอักเสบจากโรคภูมิแพ้ โรคหืดหอบ หรือการสูบบุหรี่ เป็นลักษณะปอดอุดตัน สังเกตุ คือ จะมีอาการไอ โดยมีเสมหะ นานกว่า 90 วัน นอกจากโรคภูมิแพ้ หืดหอบ การสูบบุหรี่แล้ว การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศบ่อยๆ เช่น ฝุ่น ควัน หรือ สารเคมี มีมีการระเหยได้

อาการของโรคหลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอักเสบ เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุของหลอดลม เมื่อเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ เยื่อบุหลอดลมบวม มีเสมหะในหลอดลม มีอาการไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงดัง ในบางราย จะมีอาการ แสบคอ เจ็บคอ หรือเจ็บหน้าอก ผู้ป่วยจะมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว

เราสามารถแยกอาการให้เห้นอย่างชัดเจนได้ดังนี้

  • มีอาการไอแบบเรื้อรัง ในช่วงเวลา 14 วันโดยไม่หาย
  • มีเลือดปน จากการไอ
  • มีไข้ ไอ และเหนื่อยหอบ
  • มีอาการไออย่างมาก
  • มีอาการเจ็บหน้าอก เวลาไอ หายใจ หรือ การเคลื่อนไหวทรวงอก
  • เกิดอาการหอบเหนื่อยทันที หลังจากการไอ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอังเสบ หากไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้เกิดการอักเสบลามไปถึงปอด เช่น เกิดปอดอักเสบ หรือโรคถุงลมโป่งพองได้

การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดลมอักเสบ

สำหรับการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคนี้ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอด ฟังเสียงหลอดลม การที่เสมหะมีสีขาว หรือสีเขียว ตรวจภาพรังสีทรวงอก

การรักษาโรคหลอดลมอักเสบ

หากป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ ชนิดเฉียบพลัน ร่างกายสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 10 วัน การรักษานั้น สามารถตัว โดยไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ การปฏิบัติตนเพื่อรักษาโรคหลอดลมอักเสบ มีดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เนื่องจาก น้ำอุ่นช่วยละลายเสมหะได้ดีที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคืองหลอดลม เช่น การสูบบุหรี่ การสูดดมควัน และทุกอย่างที่ระคายเคืองหลอดลม
  • หลีกเลี่ยงอากาศเย็นและอากาศแห้ง เนื่องจากอากาศเย็น จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ส่งผลให้ไอมากขึ้น
  • ให้รักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย เช่น ห่มผ้า ใส่ถุงเท้า ใส่หมวก หรือพันผ้าพันคอ

การรักษาโรคหลอดลมอักเสบ นั้น ต้องหาสาเหตุของการเกิดโรคหลอดลมอักเสบ เนื่องจากจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและรักษาอย่างเร็วที่สุด การรักษาจากการปฏิบัติตัว สามารถทำควบคู่กับการรักษาตามอาการโรค ด้วยยารักษาโรค เช่น ยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ ยาขยายหลอดลม

หากเกิดโรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง แสดงว่าร่างกายเกิดการติดเชื้อโรค ซึ่งเราต้องหาเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคให้เจอ และรับประทานยาป้องกันจุลชีพ ยาต้านจุลชีพ สามารถใช้ได้หากผู้ป่วยไม่แพ้ยา โรคหลอดลมอักเสบ ชนิดเรื้อรัง ต้องรักษาตามสาเหตุ อาจใช้ยาลดการอักเสบของหลอดลม  ยาขยายหลอดลม และหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม

การป้องกันการเกิดโรคหลอดลมอักเสบ

การป้องกันการเกิดโรคให้ลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการระคายเคืองหลอดลมทั้งหมด รายละเอียด ดังนี้

  • ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ร่างกายเย็น
  • อย่าเครียด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หากจำเป็นต้องสัมผัสอากาศเย็น ให้ใส่เครื่องที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการสูดดม ควัน กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ สารเคมี ฝุ่นและสารระคายเคืองต่างๆ

โรคหลอดลมอักเสบ ( Bronchitis ) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส อาการไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงดัง พบบ่อยในเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เป็นผลข้างเคียงของโรค เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหืดหอบ หรือ การสูบบุหรี่


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove