ว่านมหาหงส์ ( Butterfly lily ) สมุนไพรตระกูลขิง ไม้มงคลช่วยเสริมอำนาจบารมี สรรพคุณเป็นอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง แก้กระษัย ช่วยขับลม กระตุ้นน้ำย่อย รักษาแผลฟกช้ำ

ว่านมหาหงส์ สมุนไพร สรรพคุณของมหาหงส์
ว่านมหาหงส์ มีชื่อสามัญ ว่า Butterfly lily มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Hedychium coronarium J.Koenig ชื่ออื่นๆของว่านมหาหงส์ เช่น เลเป ลันเต ตาห่าน เหินแก้ว เหินคำ ว่านกระชายเห็น สะเลเต กระทายเหิน หางหงส์ ตาเหิน เฮวคำ เป็นต้น ในเหง้ามหาหงส์ มีน้ำมันหอมระเหย ลักษณะเป็นของเหลวสีเหลือง มีกลิ่นฉุน ประกอบด้วยสาร beta-pinene, borneol และ d-limonene, linalool นิยมนำมาทำเป็นโลชั่นกันยุง นอกจากนั้นยังนำเอาไปเป็นส่วนประกอบของ เครื่องสำอางค์ ครีม โลชั่น โคโลน สบู่ ครีมอาบน้ำ น้ำหอม หรือโคลนหมักตัว

ลักษณะของต้นว่านมหาหงส์

ต้นมหาหงส์ เป็นพืชล้มลุก เหง้าอยู่ใต้ดิน อายุยืนยาวหลายปี เหง้าของมหาหงส์มีสีนวล และมีกลิ่นเฉพาะตัว ต้นของมหาหงส์จะสูงประมาณ 1 เมตร จะมีกาบใบซ้อนกัน ใบมีสีเขียวลักษณะกลม ดอกจองมหาหงส์มีสีขาวสวย เหมือนดอกลิลลี่ สามารถขยายพันธุ์ได้ โดยใช้เหง้า ผลของมหาหงส์ ผลเป็นรูปทรงกลม

สรรพคุณของว่านมหาหงส์

สรรพคุณของมหาหงส์ เรานำเหง้าของมหาหงส์มาใช้ประโชยน์ รายละเอียด ดังนี้

  • นำเหง้าแห้งของมหาหงส์มาบด ผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยา ใช้ยาบำรุงกำลัง และเป็นยาอายุวัฒนะ กินเป็นยาแก้กษัย บำรุงไต
  • นำเหง้ามาต้มดื่ม เป็นยาแก้ต่อมทอนซิลอักเสบได้ ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย แก้ลมชัก
  • นำเหง้ามาคั้นน้ำ นำมารักษาแผลฟกช้ำ และแผลบวม

ประโยชน์ของต้นมหาหงส์

  • คนเมืองทางภาคเหนือจะใช้หน่ออ่อนลวกรับประทานกับน้ำพริก
  • ชาวไทใหญ่จะใช้ดอกมหาหงส์บูชาพระ
  • น้ำมันจากเหง้าสดสามารถนำมาใช้ฆ่าแมลงได้ ด้วยการใช้เหง้าสดจำนวนพอสมควรนำมาทุบแล้วสกัดให้ได้น้ำมันหอมระเหย เรียกว่า “ น้ำมันมหาหงส์ ”
  • น้ำมันหอมระเหยใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอม
  • ด้วยความหอมของดอกมหาหงส์ ในวงการสปาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศจึงนิยมใช้มหาหงส์เป็นส่วนผสมในครีม โลชัน โคโลญจน์ สบู่ ครีมอาบน้ำ หรือโคลนหมักตัว
  • มหาหงส์เป็นว่านที่ได้ชื่อว่าเข้ายาทำเสน่ห์ มีความเชื่อว่าจะช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับผู้ปลูก ให้คนรักคนหลง โดยจะนิยมปลูกเพื่อเพิ่มเมตตามหานิยมและความเป็นสิริมงคลให้แก่สถานที่ปลูก และยังเชื่อว่า “ว่านมหาหงส์” เป็นว่านให้ลาภแก่ผู้ปลูก และหากนำเหง้าหรือหัวพกพาติดตัวไปด้วยก็จะยิ่งเพิ่มเสน่ห์มหานิยม
  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ สามารถออกได้ตลอดปี ดอกจะมีกลิ่นหอมมากโดยเฉพาะในช่วงเช้าและช่วงเย็นถึงมืด ทนทานต่อแมลงต่าง ๆ โดยดอกจะทยอยบานและอยู่ทนหลายวัน ถ้านำไปปลูกบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ก็จะเหมาะยิ่งนัก เพราะสามารถปลูกได้ในที่ร่ม แดดไม่จัดมากนัก ชอบที่ชื้นแฉะ แต่ถ้านำไปปลูกลงในกระถางก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง โดยปกติแล้วดอกมหาหงส์จะเป็นสีขาว สีดอกจะตัดกับสีเขียวเข้มของต้นและใบอย่างสวยงาม ในปัจจุบันพบว่ามีการนำพันธุ์มหาหงส์เข้ามาปลูกกันหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นชนิดดอกสีขาว ดอกสีขาวตรงกลางเหลือง ดอกสีขาวตรงกลางแดง ดอกสีแดงอมสีชมพูจนถึงสีแดงเข้ม หรือดอกสีเหลืองทองทั้งดอก โดยจะมีทั้งดอกเล็กและดอกใหญ่

การปลูกว่านมหาหงส์

การปลูกว่านมหาหงส์ ว่านมหาหงส์ เป็นพืชที่ชอบดินร่วนปนทราย  นำเหง้าปักลงดิน ว่านมหาหงส์ก็จะแตกกอ ลำต้นสูง เหมือนกับ ข่า ตะไคร้ เป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย ดูแลง่าย

ไม้ล้มลุกมีเหง้าใต้ดิน ส่วนที่เห็นว่าเป็นต้นที่จริงแล้วเป็นกาบใบที่รวมตัวกัน ปลูกได้ดีในพื้นที่ได้รับแสงแดดรำไรระหว่างพันธุ์ไม้ใหญ่ ดอกจะทยอยบานทำให้สามารถชื่นชมความงามได้หลายวัน ทนทานต่อดินฟ้าอากาศ โรคแมลง อายุยืน ปลูกง่าย โตเร็ว แข็งแรง เป็นพันธุ์ไม้หอมที่ต้องการความชื้นสูง ควรปลูกไว้ใกล้ๆ น้ำ มีอานุภาพด้านเมตตามหานิยม เมื่อปลูกเลี้ยงไว้จะทำให้เป็นที่เมตตาของผู้คน และผู้เลี้ยงจะได้รับโชคลาภอยู่เสมอ หัวใต้ดิน (เหง้า) ใช้ต้มเป็นยาแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ น้ำคั้นจากหัวใต้ดินใช้ทาแผลฟกช้ำบวม สารที่ให้ความหอมในมหาหงส์ใช้เป็นส่วนผสมของสบู่ โคโลน โลชั่น ครีมอาบน้ำ

สะเดา Siamese neem tree ผักพื้นบ้าน สมุนไพรมีรสขม สรรพคุณดูแลช่องปาก เหงือกและฟัน ช่วยถ่ายพยาธิ รักษาโรคผิวหนัง ลดความดัน ลดไข้ แก้อ่อนเพลีย ช่วยเจริญอาหาร

สะเดา สมุนไพร สรรพคุณของสะเดา

ต้นสะเดาในประเทศไทย เราพบว่า สะเดาสามารถการกระจายพันธุ์อยู่ตามธรรมชาติตามป่าเบญจพรรณและป่าแดง ทั่วประเทศ  นอกจากนี้ยังสามารถพบสะเดาได้ตามป่าแล้งในประเทอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ปากีสถานและศรีลังกา

ต้นสะเดา ภาษาอังกฤษ เรียก Siamese neem tree. มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Azadirachta indica A. Juss. Var. siamensis Veleton. ชื่ออื่นๆของสะเดา เช่น สะเลียม กะเดา จะตัง สะเดาบ้าน เดา กระเดา จะดัง จะตัง ผักสะเลม ลำต๋าว สะเรียม ตะหม่าเหมาะ ควินิน สะเดาอินเดีย ไม้เดา เป็นต้น

ลักษณะของต้นสะเดา

ต้นสะเดา เป็นไม้ยืนต้น มีความสูงประมาณ 7 เมตร ใบของสะเดาเป็นแบบขนนก เรียงสลับใบ ยอดอ่อนของใบมีสีน้ำตาลอมแดง ดอกของสะเดา จะออกบริเวณปลายของกิ่ง และจะดอกสะเดาจะออกเมื่อใบของสะเดาแก่และร่วงไป ดอกสะเดามีกลีบดอกสีขาวและมีกลิ่นหอม ผลของสะเดา มีลักษณะเป็นรูปรี กลม

คุณค่าทางโภชนาการของสะเดา

นักโภชนาการได้ศึกษา คุณค่าทางอาหารของสะเดา พบว่า ยอดสะเดา 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 76 กิโลแคลอรี ซึ่มประกอบไปด้วยน้ำ 77.9 กรัม แคลเซี่ยม 354 มิลลิกรัม โปรตีน 5.4 กรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 12.5 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม กากใยอาหาร 2.2 กรัม ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 194 มิลลิกรัม วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 3611 ไมโครกรัม วิตามินบีสอง 0.07 มิลลิกรัม ในสะเดาพบว่ามีสารสำคัญที่มีประโยชน์ เช่น ในใบสะเดามี quercetin และสารพวก limonoid ได้แก่ nimbolide และ nimbic acid ในเมล็ดสะเดามี Azadirachtin ประมาณ 0.4-1% ในเปลือกต้นสะเดามีสาร nimbin และ desacetylnimbin

สรรพคุณทางสมุนไพรของสะเดา

สามารถนำส่วนต่างๆมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ยอดอ่อน ขนอ่อน เปลือกต้น ก้ายใบ กระพี้ ยาง แก่น ราก ใบ ผล เมล็ด รายละเอียด ของ สรรพคุณของสะเดา มีดังนี้

  • ดอกสะเดาและยอดอ่อนสะเดา สามารถใช้ แก้พิษโลหิต หยุดเลือดกำเดา รักษาริดสีดวงในลำคอ บำรุงธาตุ ช่วยขับลม
  • ขนอ่อนสะเดา สามารถใช้ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ
  • เปลือกต้นสะเดา ใช้ลดไข้ ช่วยเจริญอาหาร แก้ท้องเดิน
  • ก้านใบสะเดา สามารถใช้ลดไข้ นำมาทำเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย
  • กระพี้ สามารถใช้รักษาถุงน้ำดีอักเสบ
  • ยางของต้นสะเดา ใช้ในการดับพิษร้อน
  • แก่นสะเดา รักษาอาการแก้อาเจียน ช่วยขับเสมหะ
  • รากสะเดา สามารถนำมาใช้รักษาโรคผิวหนัง ขับเสมหะ
  • ใบสะเดา และผลสะเดา สามารถใช้ทำเป็นยาฆ่าแมลง และบำรุงธาตุ
  • ผลของสะเดา จะมีรสขม นิยมนำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ เป็นยาระบาย รักษาโรคหัวใจเดินผิดปกติ
  • เปลือกของรากสะเดา จะมีรสฝาด ใช้ลดไข้ ทำให้อาเจียน และใช่รักษาโรคผิวหนัง
  • เมล็ดสะเดา สามารถนำมาสกัดน้ำมัน และสามารถใช้รักษาโรคผิวหนัง และทำเป็นยาฆ่าแมลง

ข้อควรระวังในการบริโภคสะเดา

  1. ห้ามบริโภคสะเดาในคนที่มีความดันต่ำ เนื่องจากสะเดามีฤทธ์ให้ความดันโลหิตต่ำลง
  2. สะเดา เป็น ยาเย็น มีรสขมอาจทำให้ท้องอืด เกิดลมในกระเพาะได้
  3. ในสตรีหลังคลอด ไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง

การปลูกสะเดา

สามารถปลูกได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และก่อนปลูกควรไถพรวนแปลงอีกรอบ และตากดินนาน 3-5 วัน วิธีการปลูก เตรียมต้นกล้าสำหรับปลูกที่มีอายุ 3-5 เดือน และมีความสูงประมาณ 20 เซ็นติเมตร จากนั้นนำลงแปลงปลูก ขุดหลุมในระยะระหว่างหลุมประมาณ 3 เมตร ควรให้ขนานกับแนวของดวงอาทิตย์ในทิศตะวันออก-ตะวันตก เพื่อให้ต้นสะเดาสามารถรับแสงได้อย่างทั่วถึง


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove