พยาธิใบไม้ในปอด ( Paragonimus ) ปอดติดเชื้อเกิดจากการพยาธิใบไม้ใน ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด เสมหะมีสีเขียวข้น เสมหะมีพยาธิปน เกิดจากการกินอาหารดิบ

โรคพยาธิใบไม้ในปอด โรคพยาธิ โรคปอด โรคในทรงอก

อาการของโรคพยาธิใบไม้ในปอด อาการสำคัญคือ ไอเรื้อรัง และไอเป็นเลือด เกิดจากการติดพยาธิจากการกินอาหาร กินปูดิบ กินกุ้งดิบ เช่น ปูน้ำตก ปูลำห้วย ปูป่า กุ้งฝอย นอกจากไอแล้ว เสมหะจะมีสีเขียวข้น บางครั้งอาจมีพยาธิออกมากับเสมหะ หากไม่รักษาอาจ ทำให้พยาธิขึ้นสมอง มีอาการชัก สายตาผิดปรกติ  มีอาการบวมเหมือนคนเป็นดรคพยาธิตัวจี๊ด ทำความรู้จักกับ โรคพยาธิใบไม้ในปอด ว่า เกิดจากสาเหตุอะไร รักษาอย่างไร และต้องดูแลอย่างไร

โรคพยาธิใบไม้ปอด ชนิดพาราโกนิมัส หรือภาษาอังกฤษ เรียก Paragonimus เกิดจากการพยาธิใบไม้ ชื่อ Paragonimus westermani ที่อาศัยอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่าง หมา แมว เป็นต้น เมื่อพยาธิตัวนี้เข้าสู่ร่างกายคน จะเข้าสู่ปอด ทำให้มีอาการไอเรื้อรังและไอเป็นเลือดได้ ซึ่งพยาธิใบไม้ชนิดนี้ สามารถแพร่ระบาดสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้โดย การรับประทานอาหารประเภทปูและกุ้งน้ำจืดบางชนิด แบบดิบๆ ซึ่งโรคนี้สามารถพบได้ในประเทศเขตร้อน แถบเอเชีย อเมริกาใต้และแอฟริกา สำหรับประเทศไทยนั้น พบว่ามีรายงานผู้ป่วยในจังหวัดเพชรบรูณ์ สระบุรี นครนายก เชียงราย น่าน เลย ราชบุรี เป็นพยาธิชนิดพาราโกนิมัส เฮเทอโรทรีมัส (Paragonimus heterotremus)

สาเหตุของการติดพยาธิใบไม้ในปอด

สาเหตุหลักของการติดพยาธิใบไม้ในปอดนั้น เกิดจาก การมีพยาธิใบไม้ที่มีการอาศัยในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น เสือ พังพอน ซึ่งโรคพยาธิชนิดนี้ ผู้ป่วยบางรายกลืนเสมหะลงไป ทำให้ไข่พยาธิที่จะขับออกมากับเสมหะ สามารถออกมากับอุจจาระ และลงสู่แหล่งน้ำะรรมชาติ สัตว์น้ำ อย่าง ปู และกุ้ง กินต่อ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่าย ภายใน 30 วัน ไข่พยาธิสามารถฟักตัวได้ และเจริญเติบโตต่อในร่างกายของสัตว์เหล่านั้น เมื่อมนุษย์จับสัตว์แหล่านั้นมาทำอาหาร โดยไม่มีการปรุงอาหารให้สุก ก่อน ก็จะรับไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกาย

สำหรับการรับไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกายและจะเกิดโรคพยาธิใบไม้ในปอดนั้น มีระยะของการเกิดโรค ยาวนานถึง 20 ปี เนื่องจากในชีวิตประจำวันของสัตว์ที่มีไข่ของพยาธืนั้น เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของพยาธิใบไม้ในตับได้

ระยะของการติดต่อ

ซึ่งระยะของการติดโรคนั้น มี 2 ระยะคือ ระยะฟักตัวและระยะติดต่อ รายละเอียดของระยะต่างๆ มีดังนี้

  • ระยะฟักตัวของโรค ในระยะนี้กินเวลา ประมาณ 45 วัน นับตั้งแต่พยาธิใบไม้เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นเจริยเติบโตเป็นตัวเต็มวัยและสามารถผสมพันธ์และออกไข่ได้
  • ระยะติดต่อของโรค ในระยะนี้สามารถกินเวลาได้มากกว่า 20 ปี เนื่องจากหากมีพยาธิใบไม้เจริญเติบดตในร่างกายแล้ว เกิดการขยายพันธ์ แต่การติดต่อของพยาธิจะไม่ติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์โดยตรง แต่การติดต่อนั้นต้องอาศัยตัวกลางเป็นพาหะ เช่น กุ้ง หอยและปู เป็นต้น

อาการของผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ในปอด

ลักษณะอาการของโรค มีความเหมือนกับโรควัณโรค คือ อาการไอแบบเรื้อรัง มีเสมหะเหนียวข้น อาจมีโลหิตปนออกมากับเสมหะ รวมถึงไอเป็นเลือด และสามารถพบพยาธิออกมากับเสมหะได้ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บที่หน้าอก หากไม่เข้ารับการวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของโรคและรับการรักษาอย่างทันท่วงที จะทำให้ พยาธิขึ้นสมอง หากพยาธิเข้าสมองแล้ว ผู้ป่วยจะปวดหัว มีอาการเหมือนผู้ป่วยเนื้องอกในสมอง มีอาการชัก เป็นลมบ้าหมู ระบบสายตาผิดปกติ มีหนอนพยาธิอาศัยอยู่ใต้ผิวหนัง จะรู้สึกเหมือนเป็น โรคพยาธิตัวจี๊ด

สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรค สามารถทำได้โดยการ สังเกตุอาการของผู้ป่วย ตรวจเสมหะและตรวจอุจจาระเพื่อหาไข่ของพยาธิ เอ็กซเรย์ปอดเพื่อดูความผิดปรกติของปอด เป็นต้น

การรักษาโรคพยาธิใบไม้ในปอด

สามารถทำการรักษาได้โดยการใช้ยา แต่การใช้ยาจะมีอาการแทรกซ้อน บ้าง แต่ไม่เป็นอันตราย เช่น มีอาการท้องเดิน ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน โดยยาที่ใช้ในการรักษาโรคพยาธิใบไม้ในปอด คือ

  1. ยาไบไทโอนอล (Bithionol) ต้องให้ยานี้ในปริมาณ 30 ถึง 40 มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนักตัวคน 1 กิโลกรัม โดยให้ยาวันเว้นวัน 10 ถึง 15 ครั้ง
  2. ยาไบทิน บิส (Bitins bis) ต้องให้ยาในปริมาณ 10 ถึง 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ให้ยาวันเว้นวัน 10 ถึง 15 ครั้ง
  3. ยาฟาซควอนเตล (Prazlquamtel) ต้องให้ยาในปริมาณ 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ให้วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน

การควบคุมและป้องกันโรคพยาธิใบไม้ในปอด

ลักษณะการป้องกันให้ทำเหมือนโรคพยาธิไส้เดือนและพยาธิใบไม้ในตับ โดยข้อควรปฏิบัติสำหรับการควบคุมและป้องกัน มีดังนี้

  1. ให้กำจัดเสมหะและอุจจาระของผู้ป่วยย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการขยายพันธ์ และแพร่เชื้อสู่สัตว์อื่นๆ เช่น ขุดหลุมฝังเสมหะและถ่ายอุจจาระให้ลึกๆ ไม่บ้วนเสมหะลงที่สาะารณะ ที่มีคนจำนวนมาก และแม่น้ำลำคลอง
  2. ทำลายสัตว์ที่เป็นพาหะตัวกลางนำโรค เช่น หอย ปู กุ้ง หนู พังพอน แต่การกำจัดนั้น เป็นไปได้ยาก สิ่งที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี้ยงในการสัมผัสและใกล้ชิดกับสัตว์ที่มีโอกาสเป็นพาหะของพยาธิ
  3. ไม่รับประทานอาหารพวกกุ้งและปูแบบดิบๆ

โรคพยาธิใบไม้ในปอด ( Paragonimus ) ภาวะการติเชื้อที่ปอด เกิดจากการพยาธิใบไม้ Paragonimus westermani ที่อาศัยอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมา แมว เป็นต้น เมื่อพยาธิตัวนี้เข้าสู่ร่างกายคน เข้าสู่ปอด ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด เสมหะมีสีเขียวข้น เสมหะมีพยาธิปน เกิดจากการกินอาหารดิบ ปูดิบ กุ้งดิบ โรคติดต่อ สาเหตุ การรักษา ต้องดูแลอย่างไร

ต่อมทอนซิลอักเสบ ( tonsillitis ) ติดเชื้อโรคที่ต่อมทอนซิล ทำให้เจ็บคอบริเวณด้านข้างของช่องปากทั้งสองข้าง หนาวสั่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวต่อมทอนซิลอักเสบ โรคติดเชื้อ ต่อมทอนซิล เจ็บคอ

ต่อมทอนซิลอักเสบ ( tonsillitis ) คือ ภาวะการอักเสบของต่อมทอนซิล เกิดจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ที่น้ำลายและเสมหะของผู้ป่วยโรคต่อมทอนซิลอักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการ เจ็บคอ เจ็บมากบริเวณด้านข้างของช่องปากทั้งสองข้าง หนาวสั่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว โรคติดต่อ โรคติดเชื้อ

วันนี้เราขอเสนอ โรคต่อมทอลซิลอักเสบ ก่อนอื่นเราควรทำความรู้จักกับเจ้าต่อมทอนซิลก่อน ว่ามันคืออะไร มีหน้าที่ทำอะไร ต่อมทอนซิล ภาษาอังกฤษ เรียก tonsils คือ ต่อมตัวหนึ่งในร่างกาย อยู่บริเวณคอ มีหน้าที่ ดักจับและทำลายเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางคอ ต่อมทอนซิลจึงเป็นต่อมที่ต้องเผชิญกับเชื้อโรคบ่อยที่สุดในร่างกาย รองจากผิวหนัง ในตัวต่อมทอนซิล เป็นเนื้อเยื่อในกลุ่มต่อมน้ำเหลือง ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด โดยปรกติต่อมทอนซิล จะมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ

ต่อมทอนซิล ในคนคอมีอยู่ 3 ตำแหน่งคือ ต่อมทอนซิลที่อยู่ด้านข้างของช่องปาก เรียก พาลาทีนทอนซิล(palatine tonsil) ต่อมทอนซิลที่อยู่บริเวณโคนลิ้น เรียก ลิงกัวทอนซิล(lingual tonsil) และ ต่อมทอนซิลที่ช่องหลังโพรงจมูก เรียก อาเดียนอยทอนซิล (adenoid tonsil)

การที่ ต่อมทอนซิลอักเสบ นั้น หมายถึง ภาวะการอักเสบของต่อมทอนซิล ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ซึ่งการอักเสบอาจจะสามารถลามไปถึงโคนลิ้น และที่ด้านหลังโพรงจมูกได้ สามารถลามจนเกิดโรคคออักเสบได้

สาเหตุของการเกิดโรคต่อมทอนซิลอักเสบ

โดยมากเกิดจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่  และบางส่วนเกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อโรคจะอาศัยอยู่ที่น้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย สามารถติดต่อได้จากการหายใจและการสัมผัสเชื้อโรคในช่องทางต่างๆ และมีเชื้อโรคชนิดหนึ่ง ชื่อ บีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัส  กลุ่มเอ(group  A beta-hemolytic streptococcus) ซึ่งทำให้เกิดหนองที่ต่อมทอนซิลได้

อาการของผู้ป่วยโรคต่อมทอนซิลอักเสบ

จะมีอาการคล้ายกับคออักเสบทั่วไป โดยผู้ป่วยจะเจ็บคอ และจะเจ็บมากบริเวณด้านข้างของช่องปากทั้งสองข้าง โดยปรกตอแล้วผู้ป่วยจะเจ็บมากกว่า 2 วัน ทำให้การกลืนน้ลาย หรืออาหารทำได้ลำบาก ผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น คัดจมูก มีน้ำมูกไหล ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ในผู้ป่วยบางรายอาจเจ็บหู มีการอาเจียนหลังรับประทานอาหาร มีกลิ่นปาก เป็นต้น

การรักษาผู้ป่วยโรคต่อมทอนซิลอักเสบ

สามารถทำการรักษาได้หลายระดับ ตั้งแต่ การรักษาทั่วไป การให้ยารักษาโรค การรักษาโรคแทรกซ้อน และการผ่าตัด รายละเอียดของการรักษาในระดับต่างๆ มีดังนี้

  • การรักษาในระดับทั่วไป แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดทำงาน และหยุดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ร่างกายได้หยุดพักผ่อน และหยุดการแพร่กระจายเชื้อโรค ให้ดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารอ่อนๆ ให้รักษาความสะอาดของสุขอนามัยต่างๆ รวมถึงอาหาร ทานยาลดไข้ ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ อมยาอมแก่เจ็บคอ และหากอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ให้เข้ารับยาปฏิชีวนะ จากแพทย์
  • การรักษาในระดับใช้ยารักษา ซึ่งหาการพักผ่อน การทานอาหารเบาๆและสะอาดยังไม่ทำให้อาการดีขึ้น จำเป็นต้องให้ยารักษาเพิ่ม ซึ่งให้ยารักษาตามอาการของโรค เช่น ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ยาลดน้ำมูก ยาลดไข้ ยาแก้อักเสบ เป็นต้น
  • การรักษาในระดับรักษาอาการแทรกซ้อน ซึ่งโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากสาเหตุของต่อมทอนซิลอักเสบ เช่น เกิดหนองที่ต่อมทอนซิล โรคหัวใจ โรคไต ภาวะการหายใจอุดตัน จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาให้ทันท่วงที
  • การรักษาในระดับที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด  สังเกตุจากการที่ต่อมทอนซิลเกิดอักเสบ เป็นหนอง และไม่ตอบสนองการรักษา ทำให้ต่อมทอนซิลโต มีโอกาสทำใหเเกิดมะเร็งที่ต่อมทอนซิลหรือ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จำเป็นต้องผ่าตักเอาเนื้อร้ายออก

การป้องกันการเกิดโรคต่อมทอนซิลอักเสบ

สามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยง การสัมผัสกับเชื้อโรค และการสร้างภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย โดยรายละเอียดดังนี้

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เมื่อเกิดโรคก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันรักษาให้หายได้เอง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ หากร่างกายอ่อนเพลีย ก็จะทำให้ร่างกายขาดภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม เจ็บคอ

อาการหนึ่งเมื่อเกิด โรคต่อมทอนซิลอักเสบ คือ อาการมีไข้ ซึ่งเราขอนำเสนอ สมุนไพรไทย สรรพคุณ ช่วยลดไข้ เมื่อเรามีไข้หากไม่ทำการควบคุมไข้ไม่ให้สูงก้จะ ช่วยลดอาการช็อก เนื่องจากความร้อนในร่างกายสูงเกินไป สมุนไพรช่วยลดไข้ มีดังนี้

หญ้าปักกิ่ง สมุนไพร หญ้าเทวดา สรรพคุณหญ้าเทวดาหญ้าปักกิ่ง ตรีผลา สมุนไพร สมุนไพรไทย สรรพคุณของตรีผลาตรีผลา
ตะลิงปลิง ผลไม้ สมุนไพร สรรพคุณของตะลิงปลิงตะลิงปลิง ถั่วเขียว ถั่วงอก ธัญพืช สมุนไพรถั่วเขียว
อะโวคาโด ผลไม้ สมุนไพร สรรพคุณของอะโวคาโดอะโวคาโด ทองพันชั่ง สมุนไพร พืชท้องถิ่น สรรพคุณของทองพันชั่งทองพันชั่ง

ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove