ต้อหิน Glaucoma ภาวะความดันตาสูง ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงตาระบายไม่ได้ ทำลายจอประสาทตา ตาบอดได้ ต้อหินรักษาไม่หายขาด สามารถป้องกันและควบคุมการสูญเสียของการมองเห็นได้
โรคต้อหิน หรือ โรคความดันตาสูง ทางการแพทย์เรียก Glaucoma ปัจจัยหลักของการเกิดต้อหินมาจากความดันลูกตาสูง จนทำให้การระบายน้ำของลูกตามีปัญหา ส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลายในที่สุด แต่การเกิดต้อหินไม่จำเป็นต้องมีความดันตาสูงเสมอไป ผู้ป่วยโรคต้อหินไม่สามารถรักษาแล้วหายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการไม่ให้แย่ลง โดยจะต้องมาพบจักษุแพทย์ทุก ๆ 3 เดือน ที่สำคัญเมื่อพบว่าเป็นโรคนี้ต้องรีบมารักษาโดยเร็ว อย่าปล่อยทิ้งไว้ เนื่องจากอาจถึงขั้นตาบอดในที่สุด
สถานการณ์โรคต้อหินในปัจจุบัน
องค์กรอนามัยโลก ( WHO ) ระบุว่า ต้อหินเป็นสาเหตุของการตาบอดของคนทั่วโลกมากที่สุดรองจากโรคต้อกระจก ซึ่งผู้ป่วยโรคต้อหินทั่วโลก มีประมาณ 4.5 ล้านคน และ ร้อยละ 12 ของผู้ป่วยต้อหินตาบอด และ ชนิดของการเกิดต้อหินเป็นชนิดโรคต้อหินแบบปฐมภูมิ สำหรับประเทศไทย มีอัตราการเกิดต้อหินมากถึงร้อยละ 36 ของประชากรทั่วประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วย คาดว่าในปี 2563 จะมีคนไทยป่วยเป็นโรคต้อหินเพิ่มขึ้นประมาณ 7 แสนคน แม้ว่าโรคต้อหินจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันและควบคุมการสูญเสียของการมองเห็นได้
สาเหตุของโรคต้อหิน
สาเหตุของโรคต้อหินมาจากน้ำหล่อเลี้ยงตาไหลเวียนไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งน้ำหล่อเลี้ยงตามีหน้าที่หล่อเลี้ยงเลนส์ กระจกตา และหลังจากนั้นจะถูกดูดซึมผ่านออกจากลูกตาไปทางมุมตา น้ำหล่อเลี้ยงตาต้องมีความสมดลุย์จึงจะทำให้ความดันตาปกติ ในทางกับกันหากภาวะความดันตาสูงผิดปรกติก็ส่งผลต่อระดับน้ำหล่อเลี้ยงตาเช่นกัน เมื่อน้ำหล่อเลี้ยงตาไม่สามารถระบายได้ ทำให้เกิดการทำลายจอประสาทตา โดยประสาทตาจะเสื่อมลงทีละน้อย
สาเหตุที่ทำให้ความดันในตาสูง ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยจากพันธุกรรม การใช้ยาหยอดขยายม่านตา การลดลงของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเส้นประสาทตา ความดันโลหิตสูง ภาวะอักเสบและการติดเชื้ออย่างรุนแรง การกระแทกที่ดวงตา การได้รับสารเคมี หรือ การผ่าตัด เป็นต้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดต้อหิน
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดต้อหิน มีหลายปัจจัยที่ทำให้เซลล์ประสาทจอตาเสื่อมสภาพ ทำให้ลานสายตาผิดปกติ เกิดเป็นรอย หวำกว้างที่ขั้วประสาทตา ส่งผลทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน ประกอบด้วย
- ความดันตาสูง
- อายุ ที่มากขึ้นทำให้เกิดการเสื่อมตามวัย
- การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- โรคที่เกี่ยวกับเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
- ดวงตาถูกกระทบจากสารเคมี
- การใช้ยาหยอดตาขยายม่านตา
- การได้รับการกระทบกระเทือนที่ตาจากอุบัติเหตุ
ชนิดของต้อหิน
สำหรับโรคต้อหิน สามารถการแบ่งชนิดของต้อหิน ได้ 4 ชนิด ประกอบด้วย ต้อหินปฐมภูมิ ต้อหินทุติภูมิ ต้อหินแต่กำเนิด และ ภาวะสงสัยต้อหิน รายละเอียดของต้อหินชนิดต่างๆ มีดังนี้
- ต้อหินปฐมภูมิ ( Primary glaucoma ) เป็นต้อหินที่ไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค พบในผู้สูงอายุ สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท คือ ต้อหินชนิดเฉียบพลัน และ ต้อหินชนิเรื้อรัง รายละเอียด ดังนี้
- ต้อหินเฉียบพลัน ( Acute glaucoma ) คือ การเกิดต้อหินอย่างรวดร็ว ภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งลักษณะอาการรุนแรง มีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง หากไม่รักษาอย่างทันท่วงทีทำให้ตาบอดได้
- ต้อหินเรื้อรัง ( Chronic glaucoma ) ไม่รู้สึกว่า ตามัวและปวดตา แต่การมองเห็นภาพด้านข้างจะแคบลง ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบายสายตา ทำให้ใช้สายตาได้ไม่นาน อาการแบบนี้ผุ้ป่วยทั่วไปมักเข้าใจว่าเป็นอาการเสื่อมของสายตาตามอายุ อาการของต้อหินเรื้อรังนี้ความดันตาจะค่อยสูงขึ้น วินิจฉัยยาก ต้องรอจนอาการเด่นชันถึงรู้ว่าเป็นต้อหิน
- ต้อหินทุติยภูมิ ( Secondary glaucoma ) เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น อุบัติเหตุทางตา ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา ต้อหินชนิดทุติยภูมิจำเป็นต้องรักษาจากต้นเหตุของการเกิดโรค ถ้ารักษาช้าเกินไป อาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมา ซึ่งเป็นอันตราย
- ต้อหินแต่กำเนิด ( Congenital glaucoma ) เกิดจากพัฒนาการภายในลูกตาของเด็กผิดปกติจากภาวะความดันตาจะสูงมาก ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา
- ภาวะสงสัยต้อหิน ( Glaucoma suspect ) มีอาการบางอย่างเหมือนต้อหินเรื้อรัง แต่อาการไม่ครบ แพทย์จะต้องติดตามดูแลผู้ป่วยในระยะยาว
อาการของโรคต้อหิน
สำหรับอาการของโรคต้อหินจะแสดงอาการผิดปรกติที่สายตา และ อาการปวดที่ดวงตา ซึ่งเราสามารถแบ่งอาการของโรคต้อหินได้ 2 ลักษณะ คือ ต้อหินเฉียบพลัน และ ต้อหินเรื้อรัง รายละเอียดของอาการต้อหิน มีดังนี้
- อาการของต้อหิน ชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการกระทันหัน คือ ปวดตา สายตาพล่ามัว และ ตาแดงความสามารถการมองเห็นไม่ชัดเลย ปวดตามากขึ้นเรื่อยๆจนอาจถึงขั้นอาเจียน ต้องรีบพบแพทย์ทันที
- อาการต้อหิน ชนิดเรื้อรัง ผู้ป่วยในระยะแรกจะไม่รู้สึกว่ามีความผิดปรกติของดวงตาและสายตา แต่ความสามารถการมองเห็นจะค่อยๆแคบลง รู้สึกไม่สบายสายตา ผู้ป่วยมักเข้าใจว่าเป็นอาการเสื่อมของสายตาตามวัย การวินิจฉัยยาก ต้องรอจนอาการเด่นชันจึงทราบว่าเป็นโรคต้อหิน
การรักษาโรคต้อหิน
สำหรับแนวทางการรักาาโรคต้อหิน ปัจจุบันสามารถรักษาโรคต้อหินได้ 3 แนวทาง คือ การใช้ยารักษาโรค การใช้แสงเลเซอร์รักษา และ การผ่าตัดรักษา รายละเอียดดังนี้
- การใช้ยารักษา เพื่อลดความดันของดวงตาให้อยู่ในภาวะปรกติ ปัจจุบันยารักษาต้อหินมีหลายกลุ่ม ทั้งยาหยอด ที่มีฤทธิ์ลดการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา การรักษาด้วยยานั้นจำเป็นต้องหยอดยาอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินผลการรักษาอย่างถูกต้อง
- การใช้เลเซอร์ในการรักษาโรคต้อหิน ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหินที่เกิดขึ้นและระยะเวลาของการเกิดโรค ซึ่งแนวทางการรักษา เช่น SLT LPT ALPI และ Laser cyclophotocoagulation
- Selective laser trabeculoplasty ( SLT ) เพื่อรักษาต้อหินมุมเปิด จะใช้วิธีนี้รักษาหากการใช้ยาหยอดตาแล้วได้ผล
- Laser peripheral iridotomy (LPI) เพื่อใช้รักษาต้อหินมุมปิด
- Argon laser peripheral iridoplasty (ALPI) สำหรับการรักษาชนิดนี้จะใช้รักษาร่วมกับ Laser peripheral iridotomy (LPI)
- Laser cyclophotocoagulation จะใช้การรักษาชนิดนี้สำหรับการรักษาในกรณีอื่นไม่ได้ผล
- การผ่าตัดเพื่อรักษาจะใช้รักษาด้วยการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยที่การรักษาด้วยยาหรือเลเซอร์ไม่ได้ผล
การป้องกันโรคต้อหิน
แนวทางการป้องกันการเกิดโรคต้อหิน ต้องแยกการป้องกันการเกิดต้อหินชนิดเฉียบพลัน และ ชนิดเรื้อรัง โดยรายละเอียด ดังนี้
- ควรเข้ารับการสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอ
- สำหรับกลุ่มคนที่มีคนในครอบครัวมีประวัติการเกิดโรคต้อหิน ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพดวงตาอย่างใกล้ชิด
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดี ลดความเสี่ยงภาวะความดันโลหิตสูง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารบำรุงสายตา
- การทำกิจกรรมที่มีความเสียงเกิดอุบัติเหตุที่ดวงตาให้ส่วมเครื่องป้องกันอับุติเหตุ
โรคต้อหิน ( Glaucoma ) สาเหตุของการตาบอด เกิดจากภาวะความดันตาสูง น้ำหล่อเลี้ยงตาไม่สามารถระบายได้ ทำลายจอประสาทตา โรคต้อหินจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันและควบคุมการสูญเสียของการมองเห็นได้