แอสเปอร์จิลโลซิส เชื้อราจากสัตว์ปีก ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีไข้ ไอมีเสมหะ น้ำมูกเหม็น ปอดอักเสบ แนวทางการการรักษาโรคและการป้องกันทำอย่างไร

แอสเปอร์จิลโลซิส โรคติดเชื้อ โรคทางเดินหายใจ

แอสเปอร์จิลโลซิส ( Aspergillosis )  คือ โรคติดเชื้อจากเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส ( Aspergillus fumigatus ) ซึ่งคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ต้องการออกซิเจนสูงมาก พบในบริเวณที่มีออกซิเจนมากเกือบทั้งหมดโดยทั่วไปเจริญเป็นเส้นใยราบนผิวของอาหารที่มีคาร์บอนมาก เช่น กลูโคส อะไมโลส Aspergillus พบปนเปื้อนในอาหารที่มีแป้ง เช่น ขนมปังและมันฝรั่งและเจริญบนต้นไม้ แอสเปอร์จิลโลซิส พบว่ามีการระบาดสู่คน ครั้งแรกปี พ ศ. 2390 ปัจจุบันโรคนี้มีอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการต่างๆที่ระบบทางเดินหายใจ

ประวัติความเป็นมาของแอสเปอร์จิลโลซิส

แอสเปอร์จิลโลซิส ( Aspergillosis ) เป็นโรคสัตว์ที่เกิดจากเชื้อรา โดยมีรายงานการแพร่ระบาดของโรคครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2358 ในปอดของนกตะขาบ ( Carvus glandarius ) และมีรายงานการพบเชื้อโรคในคนครั้งแรกในปี พ ศ. 2390 ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 ก็มีรายงานการเกิดโรคนี้ในผู้ป่วยวัณโรค 6 ราย ซึ่งในปัจจุบันโรคนี้มีอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นเรื่อยๆ

สาเหตุของการติดเชื้อแอสเปอร์จิลโลซิส

โรคแอสเปอร์จิลโลซิสเกิดจากการติดเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส ( Aspergillus fumigatus ) เป็นเชื้อโรคที่พบในสัตว์ปีก คือ นก เกิดการระบาดสู่คนผ่านการหายใจ  ซึ่งการระบาดของโรคจากสัตว์สู่คนนั้น เนื่องจากเชื้อโรคชนิดนี้เป็นเชื้อโรคที่ต้องการออกซิเจนสูง จึงทำให้ร่างกายของผู้ติดเชื้อเกิดภาวะขาดออกซิเจน จึงต้องการเครื่องช่วยหายใจเพื่อป้องกันภาวะการหายใจล้มเหลว

อาการของโรคแอสเปอร์จิลโลซิส 

สำหรับโรคแอสเปอร์จิลโลสิสนั้นจะแสดงอาการที่ระบบทางเดินหายใจ หายใจติดขัด ไอ และ มีเสมหะ ทำให้ปอดอักเสบ โดยลักษณะของอาการโรคนี้มี 3 ลักษณะ ประกอบด้วย การแพ้เชื้อรา แบบก้อนเชื้อรา แบบทำลายปอดเรื้อรัง และ แบบลุกลาม โดยรายละเอียด มีดังนี้

  • อาการแบบแพ้เชื้อรา ( ABPA ) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อการยึดครองพื้นที่ในทางเดินหายใจของเชื้อ Aspergillus fumigatus มักเกิดในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางเดินหายใจอยู่ก่อน เช่น โรคซิสติคไฟโบรสิส (cystic fibrosis) หรือผู้ป่วยโรคหอบหืด (asthma) อาการ คือ มีไข้ ไอ เสมหะเหนียวอุดหลอดลม เอ็กซเรย์พบฝ้าในปอด บางรายมีอาการไอเป็นเลือด บางคนมีอาการคัดจมูกเรื้อรัง น้ำมูกเป็นหนองปนเลือด มีกลิ่นเหม็น แบบไซนัสอักเสบเรื้อรัง ไม่ดีขึ้นแม้จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
  • อาการแบบก้อนเชื้อรา ( aspergilloma )  เป็นเชื้อราที่รวมตัวกันเป็นก้อนอยู่ภายในปอด มักเกิดในปอดที่มีโพรงของถุงลมอยู่ก่อน ก้อนของเชื้อราจะอยู่ภายในโพรงถุงลม กลิ้งไปมาได้ภายในโพรง ในระยะแรกจะไม่มีอาการ อาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการเอ็กซเรย์ ต่อมาจึงจะมีอาการไอเป็นเลือด และมักออกมาเป็นจำนวนมากจนถึงขั้นเสียชีวิต
  • อาการแบบทำลายปอดเรื้อรัง ( chronic necrotizing pulmonary aspergillosis, CNPA ) มักพบในผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง ( COPD ) ที่ต้องพึ่งยาสเตอรอยด์ ผู้ป่วยที่ติดสุรา อาการคือมีไข้ ไอ หอบ เจ็บหน้าอก เป็นสัปดาห์ถึงเดือน เสมหะมีเลือดปนหนอง น้ำหนักลด เอ็กซเรย์พบมีปอดอักเสบหรือเป็นฝีในปอด แต่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะโดยทั่วไป
  • อาการแบบลุกลาม ( invasive aspergillosis ) มักพบในผู้ป่วยที่มีระดับเม็ดเลือดขาวในเลือดต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและต้องรับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยที่เป็นลูคีเมีย มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง เชื้อแอสเปอร์จิลลัสจะลุกลามจากปอดเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น ไอเป็นเลือด หายใจเร็ว หอบ เขียว และเกิดการติดเชื้อของอวัยวะต่าง ๆ ได้ทั่วรางกาย ในรายที่เริ่มเป็นที่ไซนัส เมื่อเชื้อลุกลามจะมีการทำลายกระดูกบริเวณใบหน้า ทำให้เจ็บปวด มีเลือดออกจากจมูก

การรักษาโรคแอสเปอร์จิลโลซิส

สำหรับแนวทางการรักษาโรคแอสเปอร์จิลโลซิส สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ คือ Voriconazole , Posaconazole , Amphothericin B , Itraconazole และ Caspofungin แต่โรคแอสเปอร์จิลโลสิสหากเป็นแบบก้อนเชื้อราผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการของโรค แต่หากแสดงอาการจะเกิดอาการไอเป็นเลือด หากรักษาไม่ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้

การป้องกันโรคแอสเปอร์จิลโลซิส

สำหรับแนวทางการป้องกันการเกิดโรคแอสเปอร์จิลโลซิส นั้นส่วนสำคัญคือ การลดปัจจัยเสี่ยงในการรับเชื้อโรค และหากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคต้องสวนเครื่องป้องกัน โดยแนวทางการป้องกันมีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค
  • ใส่ผ้าปิดจมูกกันฝุ่นละอองเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในการมีเชื้อโรค
  • หากมีประวัติการแพ้เชื้อราควรหลีกเลี้ยงการทำงานใกล้กับสัตว์ปีก
  • ควรงดทำงานในวันที่ร่างกายอ่อนแอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

Beezab.com แหล่งความรู้ด้านสุขภาพ สมุนไพร โรค แม่และเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ โยคะ ธรรมะครูบาอาจารย์ ดูแลตัวเองเบื้องต้นด้วยข้อมูลดีๆ เนื้อหาในเว็บไซต์นี้มีไว้เพื่อการศึกษาหรือเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเท่านั้น เราไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือ การรักษาโรคแต่อย่างใด หากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบาย ควรคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดูที่ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งานของเรา

Beezab.com source of health knowledge, herbs, diseases, mothers and children, healthy food, yoga and Dhamma.  The content on this page is for educational purposes only. We are not intended to be a substitute for medical advice. Diagnosis of disease or treatment of disease in any way If you are sick, You should consult a doctor.

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักของเรา ถุงกระสอบทรัพย์ทวี จำหน่ายถุงกระสอบมีซิบ สำหรับย้ายหอย้ายบ้าน ย้ายสำนักงาน มีสินค้าประกอบด้วย ถุงสายรุ้ง ถุงไนลอน ถุงการ์ตูน และ ถุงล้อลาก

ฮีสโตพลาสโมสิส Histoplasmosis ภาวะติดเชื้อรา Histoplasma capsulatum ในขี้นก ขี้ไก่ ขี้ค้างคาว อาการไอ หายใจลำบาก อ่อนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต รักษาและป้องกันอย่างไรโรคฮีสโตพลาสโมสิส ติดเชื้อรา ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อ

เชื้อราHistoplasma capsulatum พบได้ทั่วโลก เป็นเชื้อรานี้จะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นสูง เช่น ดินในถ้ำ เล้าไก่ กรงนก และ สวนสาธารณะ โดยพื้นที่ที่มีนกหรือค้างคาวถ่ายมูลไว้ โรคฮีสโตพลาสโมสิส สามารถโรคที่ไม่ติดต่อจากคนสู่คน แต่คนสามารถติดเชื้อจากการหาใจ และ การสัมผัสเชื้อโรค โรคมักพบในสัตว์เลี้ยง เช่น แมว สุนัข เป็นต้น

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงติเชื้อโรคฮีสโตพลาสโมสิส

สำหรับกลุ่มคนที่มีโอกาสเกิดการติดเชื้อโรคฮีสโตพลาสโมสิส ประกอบด้วยกลุ่มคนต่างๆ ดังนี้

  • เกษตรกรกลุ่มกำจัดแมลง
  • เกษตรกลุ่มผู้เลี้ยงเป็ดไก่
  • ช่างก่อสร้าง
  • ช่างหลังคา
  • นักจัดสวน
  • นักสำรวจถ้ำ

สาเหตุของการติดเชื้อฮีสโตพลาสโมสิส

สาเหตุหลักของโรค คือ เชื้อรา Histoplasma capsulatum  เข้าสู่ร่างกาย ผ่านการสูดดม ซึ่งสาเหตุอื่นๆที่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การท้องเสียจากการติดพยาธิปากขอ การขยายขนาดของตับ การขยายขนาดของม้าม และ การขยายขนาดของต่อมน้ำเหลือง

อาการของโรคฮีสโตพลาสโมสิส

โรคฮีสโตพลาสโมสิส มีตั้งแต่ระดับอ่อนโดยไม่แสดงอาการจนถึงระดับที่รุนแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้ อาการของโรคมักแสดงอาการใน 3 ถึง 17 วัน เริ่มจากการเป็นไข้ มีอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดตัว ไอแห้งๆ เจ็บหน้าอก และบางรายมีอาการปวดข้อและมีผื่นคัน ร่วมด้วย สำหรับอาการของโรคสามารถสรุป ได้ดังนี้

  • มีอาการไอ
  • หายใจลำบาก
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ออกกำลังกายไม่ได้
  • มีอาการต่อมน้ำเหลืองโต
  • มีไข้สูง
  • เหงือกซีด
  • มีอาการดีซ่าน
  • ตับและม้ามมีการขยายตัว

อาการของโรคฮีสโตพลาสโมสิส จะทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ อาการปอดอักเสบแบบเฉียบพลัน และ อาการปอดอักเสบแบบเรื้อรัง โดยส่วนมาก ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยติดเชื้อโรคฮีสโตพลาสโมสิส เกิดอาการปอดอักเสบแบบเฉียบพลัน

การรักษาโรคฮีสโตพลาสโมสิส

การรักษาโรคฮีสโตพลาสโมสิส ด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อ คือ Amphotericin B และ Itraconazole สำหรับระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งของอาการติดเชื้อ

การป้องกันโรคฮีสโตพลาสโมสิส

สำหรับแนวทางป้องกันการติดเชื้อรา ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีโอกาสในการติดเชื้อโรค เช่น ถ้ำ เล้าเป็ด เล้าไก่ สถานที่ที่มีนกหรือค้างคาว หมั่นรักษาความสะอาดเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรค

โรคฮีสโตพลาสโมสิส ( Histoplasmosis ) ภาวะติดเชื้อรา Histoplasma capsulatum เชื้อโรคอยู่ในขี้นก ขี้ไก่ ขี้ค้างคาว อาการของโรค เช่น การไอ หายใจลำบาก อ่อนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต รักษาอย่างไร ป้องกันได้หรือไม่


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove