ออทิสติก ( Autistic Disorder ) ออทิสซึม ( Autism ) ความบกพร่องของพัฒนาการในเด็ก มีลักษณะเฉพาะตัว เด็กไม่สามารถพัฒนาทักษะ ด้านสังคม ภาษา และการสื่อความหมาย
Autism มาจากภาษากรีก หมายถึง การแยกตัวอยู่ตามลำพัง เปรียบเสมือน กำแพงใสที่กั้นบุคคลเหล่านี้ออกจากสังคมรอบข้าง โรคออทิสติก เรียกว่า พีดีดี พบว่า มีแนวโน้มการเกิดโรคสูงขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก โดยเพศชายพบมากกว่าเพศหญิง ผู้ป่วยโรคออทิสติกต้องดูแลช่วยเหลืออย่างเหมาะสม และต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง โรคนี้ที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของสมอง ทำให้เกิดความบกพร่องของพัฒนาการและสติปัญญา และทำให้เกิดความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย
การเกิดโรคออทิสติก พบในเด็กเฉลี่ย 1000 คนพบ 2 ถึง 8 คน ป่วยเป็นโรคออทิสติก ในประเทศไทยพบว่ามีอัตราส่วน 9 คนต่อ 10,000 คน พบว่าเพศชายเกิดมากกว่าเพศหญิง
สาเหตุของการเกิดโรคออทิสติก
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดออทิสติกในปัจจุบัน นั้นยังไม่สามารถสรุปสาเตุที่ชัดเจนได้ แต่กลไกการของการเกิดโรคที่สำคัญส่วนหนึ่งมาจากเลือดไปเลี้ยงเซลล์สมองไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์สมองบางส่วนทำงานน้อยหรือไม่ทำงาน จนเกิดความผิดปกติของสมองและระบบประสาท แต่ไม่พบความผิดปกติที่เกิดจากการเลี้ยงดู หรือบุคลิกภาพของพ่อแม่ สามารถสรุปสาเหตุและปัจจัยที่มีโอกาสทำให้เกิดโรคออทิสติดได้ ดังนี้
- ความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยโรคออทิสติก มีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมอง ด้วยความผิดปกติของสมองและการทำงานของสมองบกพร่อง
- ความผิดปกติของสารสื่อประสาท
- ปัจจัยทางพันธุกรรม ผู้ป่วยโรคออทิสติก มีโอกาสเป็นโรคนี้หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
- ปัจจัยทางการเลี้ยงดู พ่อแม่ของเด็กกลุ่มโรคออทิสติกมีความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกต่ำ ห่างเหินเย็นชา ผู้ป่วยโรคออทิสติกมักมีภาวะตึงเครียดจากการดูแล ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะวิตกกังวล หรือซึมเศร้าได้
อาการของโรคออทิสติก
ลักษณะอาการของโรคที่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน คือ ความผิดปกติด้านการเข้าสังคม ( Social disturbance ) เป็นความบกพร่องที่มีความรุนแรงมากที่สุดของกลุ่มโรคออทิสติก โดยลักษณะอาการที่พบ ประกอบด้วย
- ไม่มองหน้า ไม่สบตา ขณะสนทนาหรือการทำกิจกรรมต่างๆ
- ไม่แสดงออกทางอารมณ์ รวมถึง สีหน้า ท่าทาง การยิ้ม
- ไม่มีท่าทางแสดงออกเพื่อการสื่อสาร เช่น ไม่ชี้นิ้วบอกถึงสิ่งที่ต้องการ ไม่พยักหน้า หรือ ส่ายหน้า เพื่อแสดงออกถึงความต้องการ
- ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกหา ไม่สนใจเวลาพูดคุยด้วย
- ชอบเล่นคนเดียว ไม่สนใจเข้าไปเล่นกับเด็กคนอื่น
- ไม่แสดงอารมณ์หรือท่าทางดีใจ เช่น ยิ้ม วิ่งมาหา หรือ เข้ามากอด และไม่ร้องตาม พ่อแม่ ไม่เข้ามาแสดงความรักกับพ่อแม่ เช่น การกอด การจูบ การเข้ามาซบอก
- ไม่เข้าใจสถานการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อน
- ไม่สามารถทำท่าเลียนแบบผู้ใหญ่ได้ เช่น แต่งหน้า หวีผม
ความผิดปกติหรืออาการอื่นๆที่พบร่วมกับผู้ที่มีอาการป่วยโรคออทิสติก
สำหรับผู้ป่วยโรคออทิสติกนั้นมักพบว่ามีอาการของโรคอื่นๆร่วมด้วยเสมอ เป็นความผิดปกติที่พบร่วมกับกลุ่มโรคออทิสติกได้ โดยสามารถสรุป ได้ดังนี้
- โรคปัญญาอ่อน พบว่าร้อยละ 70 ของผุ้ป่วยโรคออทิสติก มีภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วย
- อาการชัก ผู้ป่วยโรคออทิสติก มีโอกาสการชักสูงกว่าคนทั่วไป ส่วนใหญ่อาการชักมักเริ่มในวัยรุ่น ช่วงอายุที่มีโอกาสชักมากที่สุด คือ 10 -14 ปี
- มีปัญหาเรื่องการนอน ผู้ป่วยโรคออทิสติก จะนอนยาก นอนน้อย และ นอนไม่เป็นเวลา
- มีปัญหาด้านการกินอาหาร ซึ่งผู้ป่วยจะไม่กินสิ่งที่ไม่อยากกิน
- มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว และการทรงตัว ไม่สามารถทำได้อย่างปรกติเหมือนคนทั่วไป
- มีปัญหาทางอารมณ์
การรักษาโรคออทิสติก
โรคออทิสติก ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาเพื่อเป้าหมายของการรักษาคือการส่ง เสริมพัฒนาการและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ใกล้เคียงเด็กปกติมากที่สุด การวินิจฉัยและได้รับการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย และต่อเนื่องทำให้ผลการรักษาดี โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่
- การปรับพฤติกรรมและฝึกทักษะทางสังคม เช่น การลดพฤติกรรมความก้าวร้าวและการใช้ความรุนแรง
- การฝึกพูด การพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารที่ล่าช้ากว่าคนปรกติ จะช่วยลดพฤติกรรมความก้าวร้าวที่เกิดจากการไม่สามารถสื่อสารได้ตามที่ต้องการ
- การส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นๆควบคู่กับการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร สังคม และ การปรับพฤติกรรม
- การศึกษาพิเศษควรจัดการศึกษาที่มีระบบชัดเจน ไม่มีสิ่งเร้าที่มากเกินไป และ ควรวางแผนการศึกษาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน
- การฝึกอาชีพ มองหอาอาชีพให้เหมาะสมกับพัฒนาการของผู้ป่วย เพื่อให้ผุ้ป่วยสามารถดำรงชีพได้ด้วยตนเอง
- รักษาด้วยยา การใช้ยาเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และ ช่วยให้เด็กสามารถฝึกได้ง่ายขึ้น ยาจะไม่ใช่ยาที่รักษาอาการของโรค แต่เป็นยาที่ควบคุมพฤติกรรมของเด็ก
แนวทางดูแลและช่วยเหลือเด็กออทิสติก
สำหรับการเลี้ยงดูเด็กออทิสติกนั้น มีแนวทางการปฏิบัติเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก โดยมีแนวทาง ดังนี้
- ต้องส่งเสริมกำลังใจคนในครอบครัว ( Family Empowerment ) ครอบครัว มีความสำคัญที่สุดในการช่วยเหลือเด็กออทิสติกให้สามารถดำรงชีวิตได้ ความรู้ความเข้าใจ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ผู้ปกครองตั้งเริ่มเรียนรู้ และส่งเสริมทักษะต่างๆในการดูแลตัวเองของเด็กออทิสติก
- ต้องส่งเสริมพัฒนาการความสามารถของเด็ก ( Ability Enhancement ) การเสริมสร้างโอกาสให้เด็ก มีความสามารถที่หลากหลายด้วยกิจกรรม เช่น ดนตรี กีฬา และศิลปะ จะช่วยให้เด็กมีโอกาสแสดงความสามารถมากขึ้น
- ส่งเสริมพัฒนาการ ( Early Intervention ) การจัดกิจกรรมเพื่อใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กตามวัย โดยยึดหลักและลำดับขั้นพัฒนาการของเด็กปกติ ควรเน้นในเรื่องการมองหน้าสบตา การมีสมาธิ การฟัง และการทำตามคำสั่ง ทักษะเหล่านี้ อาจทำให้เกิดความเครียดทั้งกับผู้ปกครองและตัวเด็กเอง แต่เมื่อเด็กมีทักษะพื้นฐานเหล่านี้ดีแล้ว การต่อยอดในทักษะที่ยากขึ้นก็จะไม่ยากอีกต่อไป
- พฤติกรรมบำบัด ( Behavior Therapy ) ส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง และหยุดพฤติกรรมที่จะเป็นปัญหา เสริมสร้างทักษะด้านภาษา ด้านสังคม และทักษะอื่นๆ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมตามที่เราต้องการ ต้องชมเชย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
- ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ ( Medical Rehabilitation ) เช่น การแก้ไขการพูด ทำกายภาพบำบัด
- การแก้ไขการพูด ( Speech Therapy ) พัฒนาการทางภาษาต้องใกล้เคียงปกติที่สุด การแก้ไขการพูดมีความสำคัญ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือผู้ปกครอง ซึ่งใกล้ชิดกับเด็กที่สุด
- กิจกรรมบำบัด ( Occupational Therapy ) การประยุกต์กิจวัตรประจำวันและกิจกรรมต่างๆ สามารถทำให้เด็กออทิสติกสามารถกลับไปดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปรกติที่สุด นักกิจกรรมบำบัด ( Occupational Therapist ) จะเป็นผู้ที่ประยุกต์ใช้กิจกรรมต่างๆ มาช่วยในการบำบัดเด็กตามสภาพปัญหาของเด็กแต่ละคน
- การฟื้นฟูความสามารถทางการศึกษา ( Educational Rehabilitation ) การศึกษามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มทักษะด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
- การฟื้นฟูความสามารถการเข้าสังคม ( Social Rehabilitation ) ฝึกฝนทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กออทิสติกสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ
- ฝึกทักษะการใช้นชีวิตประจำวัน ( Activity of Daily Living Training ) การจัดกระบวนการเรียนรู้ ในกิจวัตรประจำวัน ต้องฝึกฝนจนเกิดความเคยชิน เพื่อให้เขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง
- ฝึกทักษะทางสังคม ( Social Skill Training ) ความบกพร่องที่สำคัญของเด็กออทิสติก เพื่อช่วยให้เด็กออทิสติกสามารถเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อสามารถปรับตัวเข้าสังคมได้
- ฟื้นฟูทักษะทางอาชีพ ( Vocational Rehabilitation ) ปัจจุบันการทำงานประกอบอาชีพส่วนตัว เพื่อเป้าหมายให้เด็กออทิสติกสามารถทำงาน มีรายได้ และดำรงชีวิตโดยอิสระ เพื่อพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด
- การบำบัดทางเลือก ( Alternative Therapy ) การบำบัดรักษาในปัจจุบันยังมีแนวทางการบำบัดทางเลือกที่หลากหลาย สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสภาพปัญหา สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจกับปัญหา การบำบัดทางเลือก เช่น การสื่อความหมายทดแทน ( Augmentative and Alternative Communication; AAC ) ศิลปกรรมบำบัด ( Art Therapy ) ดนตรีบำบัด ( Music Therapy ) เครื่องเอชอีจี ( HEG; Hemoencephalogram ) การฝังเข็ม ( Acupuncture ) การบำบัดด้วยสัตว์ ( Animal Therapy ) การบำบัดด้วยหุ่นยนต์ ( Robot Therapy ) เป็นต้น
โรคออทิสติก ( Autistic Disorder ) หรือ ออทิสซึม ( Autism ) คือ ความบกพร่องของพัฒนาการในเด็ก ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว โดยเด็กไม่สามารถพัฒนาทักษะ ด้านสังคม ภาษา และการสื่อความหมาย ได้ ปัญหานี้เป็นตั้งแต่เล็ก และแสดงให้เห็นได้ก่อนอายุ 3 ขวบ โรคนี้ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ เด็กออทิสติกต้องดูแลอย่างไร
Last Updated on April 24, 2023