ท้องเสีย ภาวะการถ่ายอุจจาระเหลว เกิน 3 ครั้งในหนึ่งวัน ลักษณะอุจจาระเป็นน้ำ มีมูกเลือก สาเหตุจากการติดเชื้อโรค การป้องกันและรักษาอาการท้องร่วงต้องทำอย่างไร
อาการท้องร่วงนั้น หากโดยอาจถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกเลือด จะเรียกว่าเป็น โรคบิด หากมีอาการท้องเสียอย่างรวดเร็วใน 14 วันจะเรียก ท้องเสียเฉียบพลัน และหากท้องเสียแบบต่อเนื่องนาน 30 วันจะเรียกว่า ท้องเสียต่อเนื่อง และหากท้องเสียนานเกิน 30 วันจะเรียก ท้องเสียเรื้อรัง
ลักษณะอาการของโรคท้องร่วง
อาการสำคัญของโรคท้องร่วง คือ การถ่ายอุจจาระตั้งแต่วันละ 3 ครั้ง จะมีอาการ คือ ปวดอุจจาระ ถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลว อ่อนเพลีย อาจมีอาการ มีไข้ และปวดเมื่อยตามตัวด้วย ซึ่งสามารถเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อไวรัส เราสามารถสรุปอาการสำคัญได้ดังนี้
- มีอาการกระหายน้ำ
- ปัสสาวะน้อย ลักษณะปัสสาวะมีสีเหลืองเข็ม
- ปากแห้ง
- ลิ้นแห้ง
- ผิวแห้ง
- หากเกิดอาการขาดน้ำอย่างรุนแรงจะเกิดอาการ วิงเวียนศรีษะ มึนงง กระสับกระส่าย และอาจเกิดอาการช็อกได้
สาเหตุของการเกิดอาการท้องร่วง
เราสามารถสรุปสาเหตุของการเกิดท้องร่วงได้ คือ จากการเกินอาหารไม่สะอาดจนเกิดอาหารเป็นพิษ การติดเชื้อโรคทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย โดยราลยะเอียดของสาเหตุการเกิดโรคท้องร่วงมี ดังนี้
- อาหารเป็นพิษ เกิดจากอาหารที่ปรุงสุกแต่ทิ้งไว้นานจนเกิดเชื้อโรค เช่น เชื้อแบคทีเรีย เมื่อเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย เจริญเติบโตในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เชื้อโรคสามารถสร้างสารพิษออกมาได้ ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ปวดท้องแบบบิดๆ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
- เกิดจากการติดเชื้อโรค มักเกิดกับเด็กๆอายุต่ำกว่า 2 ปี มักเกิดในฤดูร้อน เชื้อโรคจะทำลายเยื่อบุลำไส้เล็ก ทำให้ลำไส้ลดการหลั่งน้ำย่อย แบคทีเรียในลำไส้สลายเกิดเป็นกรด และทำให้อุจจาระร่วงมากขึ้น
- อหิวาตกโรค โรคนี้ปัจจุบันไม่พบบ่อย คนไข้จะมีอุจจาระร่วงอย่างรุนแรง โรคนี้เกิดจากการกินน้ำหรืออาหารที่ไม่สะอาด ที่มีเชื้อโรคเจือปน
อาการอุจจาระเป็นมูกเลือด เกิดจากสาเหตุ 2 กลุ่ม คือ ติดเชื้อแบคทีเรีย และ ติดเชื้ออะมีบา
อาการของโรคท้องร่วง
ลักษณะที่เด่นชัดของโรคท้องร่วง คือ ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากๆ และหลายครั้ง ในบางคนจะถ่ายอุจจาระมีลักษณะเหมือนน้ำซาวข้าว ซึ่งการถ่ายเหลว ทำให้ผู้ป่วยเสียน้ำในร่างกายอย่างรวด ส่งผลต่อความดันโลหิตต่ำ จนเกิดอาการช็อก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรค มีทั้งยาฉีดและยากิน แต่ไม่แนะนำให้ใช้ ยกเว้นคนที่จะเดินทางไปในประเทศที่มีโรคนี้ชุกชุม เช่น อินเดีย บังคลาเทศ สามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้
การรักษาอาการท้องร่วง
สำหรับการรักษาอาการท้องร่วง ให้ป้องกันอาการร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง ด้วยการดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อป้องกันการขาดน้ำและเกลือแร่ สำหรับการรักษาให้แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ คนที่อายุต่ำกว่า 2 ปี และ คนที่อายุเกิน 2 ปี โดยรายละเอียด ดังนี้
- ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ให้ดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว โดยการใช้ช้อนป้อนไม่ควรให้ดูดจากขวดนม เนื่องจาก เด็กจะกระหายน้ำและดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำที่ดื่มดูดซึมเข้าสู่ร่างกายไม่ทัน ควรให้อาหารเหลว เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด และนมแม่
- หากผู้ป่วยเป็นเด็กอายุมากกว่า 2 ปี ควรให้ดื่มน้ำเกลือแร่ครั้งละ 1 แก้ว โดยให้จิบทีละน้อยแต่บ่อยๆ หากมีอาการดีขึ้นก็ให้หยุดดื่มน้ำเกลือแร่ และให้กินอาหารที่อ่อนๆ เพื่อให้ลำไส้ฟื้นตัวเร็วจากการติดเชื้อ
การดูแลตนเอเมื่อท้องร่วง
ข้อปฏิบัตตนเมื่ออยู่ในภาวะท้องเสีย ให้ทำตัวดังนี้
- ให้พักผ่อนให้เพียงพอ หากทำงานให้หยุดทำงาน หากรียนหนังสือให้หยุดเรียน
- ให้ดื่มน้ำมากๆ หรือ ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป
- ให้รับประทานอาหารอ่อนๆ รสจืด
- ควรรีบพบแพทย์เมื่อ มีอาการท้องเสียและไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน ตัวเหลืองและตาเหลือง มีไข้สูง อุจจาระเป็นมูกเลือด อุจจาระมีสีดำและเหนียวเหมือนยางมะตอย
ป้องกันอาการท้องร่วง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
- กินอาหารสุกและปรุงใหม่เสมอ
- ดื่มน้ำสะอาด ไม่ควรกินน้ำแข็ง
- ล้างมือให้สะอาดเสมอโดยเฉพาะก่อนกินอาหาร
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น วัคซีนโรคตับอักเสบ
ท้องเสีย คือ ภาวะการถ่ายอุจจาระเหลว เกิน 3 ครั้งในหนึ่งวัน ลักษณะอุจจาระเป็นน้ำ หรือ มีมูกเลือก สาเหตุจาก อาหารเป็นพิษ ติดเชื้อโรค หรือ อหิวาตกโรค การป้องกันและการรักษาท้องร่วงทำอย่างไร
Last Updated on March 17, 2021