ริดสีดวงทวาร ( hemorrhoids ) หลอดเลือดดำที่ทวารเกิดการขอดหรือโปร่งพอง เมื่อเกิดการแตกเลือดจะไหลมาก อาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปวด เจ็บ และ ระคายเคือง ที่ทวาร
โรคริดสีดวงทวาร ภาษาทางการแพทย์ เรียก hemorrhoids เกิดจากความผิดปรกติของหลอดเลือดดำ ที่ทวารหนัก เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อย ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคมีหลายปัจจัย เมื่อเกิดโรคริดสีดวงทวารขึ้นกับร่างกายมนุษย์ จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ริดสีดวงทวาร มีอาการสำคัญ คือ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด โดยเฉพาะเวลาเบ่งอุจจาระแรงๆ ริดสีดวงทวารหนัก เป็นโรคทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ร้ายแรง แต่สร้างความทุกข์ทรมานและความรำคาญ สำหรับผู้ป่วยพอสมควร วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้ละเอียดไปด้วยกัน
ริดสีดวง ภาษาอังกฤษ เรียก Hemorrhoids หรือ Piles เกิดจากหลอดเลือดดำ บริเวณทวารหนักเกิดการขอด หรือ โปร่งพอง เป็นหัว เราเรียกหลอดเลือดดำที่ขดเป็นก้อนนี้ว่า หัวริดสีดวง เมื่อเกิดการแตกก็จะเกิดเลือดไหลออกมาจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นเวลา ท้องผูก ท้องเดิน แต่โดยปกติแล้วอาการจะไม่รุนแรงและไม่อันตราย แต่จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวล หากเกิดอาการแบบเป็นๆหายๆ
สำหรับการเกิดหัวริดสีดวง นั้นเราสามารถพบได้หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นหัวเดียว หรือหลายๆหัว ทั้งเกิดภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย สำหรับโรคริดสีดวงทวารนั้น เราสามารถแบ่งชนิดของโรคได้เป็น 2 ชนิด คือ ริดสีดวงภายนอก เราเรียกว่า External Hemorrhoids และริดสีดวงภายใน เราเรียกว่า Internal hemorrhoids
ชนิดของโรคริดสีดวงทวาร
ริดสีดวง เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ริดสีดวงภายนอกและริดสีดวงภายใน ซึ่ง ทั้ง 2 ชนิดมีความเหลือนและแตกต่างกันอย่างไร นั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ริดสีดวงทวารภายนอก ภาษาอังกฤษ เรียก External hemorrhoids ลักษณะของริดสีดวง จะขึ้นตามชั้นผิวหนังตามแนวเส้นประสาท ซึ่งเส้นประสาทรับความรู้สึก หากเกิดที่ปากทวารหนักจะเจ็บปวดมาก เมื่อเกิดการกระทบกระเทือน เบาะรองจากบริเวณรูทวารหนักเลื่อนตัวลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปากทวารหนัก กลุ่มเส้นเลือดและเนื้อเยื่อเหล่านี้จะเบียดออกไปด้านข้างจนกลายเป็นก้อนนูนที่ปากทวารหนัก
- ริดสีดวงทวารภายใน ภาษาอังกฤษ เรียก Internal hemorrhoids ลักษณะปกคลุมด้วยเยื่อบุลำไส้ มักเกิดขึ้นเหนือแนวเส้นประสาทและรูทวารหนัก ซึ่งจะไม่กระทบกับเส้นประสาทรับความรู้สึก ทำให้ริกสีดวงทวารภายใน ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ส่วนใหญ่ผู้ป่วยริดสีดวงทวารภายในจะไม่รู้ตัว ซึ่งลักษณะของริดสีดวงภายในจะมี 2 ลักษณะ คือ ริดสีดวงภายในแบบเป็นก้อนยื่นออกจากทวาร เรียก Prolapsed hemorrhoids และ ริดสีดวงทวารภายในแบบบีบรัด เรียก Strangulated hemorrhoids สำหรับระยะของโรคริดสีดวงทวารแบบภายในนั้น เราสามารถแบ่งระยะของโรคได้เป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่1 ระยะที่2 ระยะที่3 และระยะที่4 ซึ่งรายละเอียดของแต่ละระยะ มีดังนี้
- ริดสีดวงทวารภายใน ระยะที่ 1 เกิดหลอดเลือดดำโป่งพอง ภายในทวารหนักและลำไส้ แต่ยังไม่มีหัวริดสีดวง ในระยะนี้ สามารถรักษาได้ด้วยยา หรือฉีดยาในตำแหน่งที่มีเลือดออก
- ริดสีดวงทวารภายใน ระยะที่ 2 เกิดหัวริดสีดวงโผล่ออกมาบริเวณปากทวารหนัก ซึ่งในระยะนี้ หัวริดสีดวงจะโผล่เข้าๆออกๆ ในระยะนี้ สามารถใช้การยิงยางรัดโคนของริดสีดวงที่โผล่ออกมาทำให้หัวริดสีดวงฝ่อและหลุดออกมาเอง
- ริดสีดวงทวารภายใน ระยะที่ 3 เกิดหัวริดสีดวงขนาดใหญ่ขึ้น และไม่สามารถกลับเข้าทวารหนักได้
- ริดสีดวงทวารภานใน ระยะที่ 4 เกิดหัวริดสีดวงขนาดใหญ่ ค้างอยู่ปากทวารหนัก ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บและปวด จำเป็นต้องรีบรักษา เนื่องจากหากหัวริดสีดวงเกิดการขาดลือด จะเน่า และเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
สาเหตุของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดโรคนี้ คือ หลอดเลือดดำ ที่อยู่ใต้ผิวหนังและใต้เยื่อเมือกบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพอง จนเป็นหัว เนื่องจากมีภาวะความดันของหลอดเลือดดำสูง เราสามารถแจงสาเหตุที่ทำให้ความดันหลอดเลือดดำสูง ประกอบด้วย
- พฤติกรรมการบริโภคอาหาร ที่มีกากใยอาหารน้อย
- การเกิดโรคท้องผูกแบบเรื้อรัง ซึ่งการเกิดโรคท้องผูก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ การเบ่งอุจจาระ ส่งผลให้เกิดแรงดันของหลอดเลือดตำที่บริเวณทวารหนักมากขึ้น ทำให้เกิดการโป่งพองหรือขอดตัวของหลอดเลือดดำได้ง่าย
- การเกิดโรคท้องเดิน ท้องเสียบ่อยๆ แบบเรื้อรัง การถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ที่เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารได้
- พฤติกรรมการถ่ายอุจจาระที่ไม่ถูกต้อง การเบ่งอุจจาระแรงๆ หรือการพยายามแบ่งอุจาระให้ออกทำให้เกิดภาวะริดสีดวงทวารได้ การเบ่งในระห่างถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน เป็นการเพิ่มความดัน และทำให้เกิดการบาดเจ็บที่เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารได้
- การใช้ยาสวนทวารและการกินยาระบายเป็นประจำ
- การตั้งครรภ์ เนื่องจากคนตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวมากขึ้น เกิดการกดทับ ทำให้เลือดไหลกลับหัวใจได้ลดลง เกิดการคั่งของหลอดเลือด ส่งผลต่อการบวมและพองของหลอดเลือดตามมา
- โรคอ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวมากมีผล ต่อแรงดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานสูง เลือดสามารถคั่งได้
- อายุมาก การเสื่อมสภาพของเนื้อเยื้อของร่างกาย สามารถส่งผลให้เกิดหลอดเลือดโปร่งพ่องง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
- การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การกดทับ การถูกกระแทกที่ทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารหนักเกิดการโป่งพองได้ง่าย
- การไอเรื้อรัง หรือการไออย่างแรง เนื่องจากการไอส่งผลต่อแรงดันในช่องท้อง
- โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในหลอดเลือดดำในเนื้อเยื่อหลอดเลือดซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือด มีผลทำให้เกิดภาวะเลือดคั่งอยู่ภายในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองได้ง่าย
- โรคแทรกซ้อน จากโรคอื่นๆ เช่น ก้อนเนื้องอกในท้อง เนื้องอกมดลูก เนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมากโต ตับแข็ง เป็นต้น
อาการของริดสีดวงทวาร
สำหรับการของโรคริดสีดวงทวาร เราจะแบ่งอาการของโรคออกเป็น 2 ส่วนตามชนิดของโรค คือ อาการของริดสีดวงภายใน และอาการของริดสีดวงภายนอก รายละเอียดดัง ต่อไปนี้
- โรคริดสีดวงภายนอก อาการของโรค คือ จะมีติ่งเนื้อออกมาจากปากทวารหนัก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด เจ็บ และระคายเคือง โดยปกติแล้วอาการนี้จะหายเจ็บได้ภายใน 2-3 วัน แต่อาการปวดอาจต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 สัปดาห์แต่หากหัวริดสีดวงใหญ่ อาจทำให้ระคายเคือง และคันบริเวณปากทวารหนักได้
- โรคริดสีดวงภายใน อาการของโรค คือ มีเลือดออกจากทวารหนัก แต่ไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยมากจะเกิดตอนถ่ายอุจจาระหรือหลังถ่ายอุจจาระเสร็จ ลักษณะเลือดมีสีแดงสด ปนกับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลหยดลงจากทวารหนัก อาการเหล่านี้จะเป็น ๆ หาย ๆ แต่หากมีอาการเรื้อรัง ทำให้เสียเลือดตัวซีดลงได้ สำหรับผู้ที่เป็นหนัก หลอดเลือดจะบวม จะเห็นหัวริดสีดวงโผล่ออกมาจากทวารหนัก เป็นก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ซึ่งก้อนนี้จะทำให้เกิดอาการปวด และเจ็บ อาจจะทำให้เกิดอาการคัน และกลั้นอุจจาระไม่อยู่ด้วย
ผลข้างเคียงของโรคริดสีดวงทวาร
โรคริดสีดวงทวารนั้นไม่ใช้โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่างๆมากมาย เราได้แยกผลกระทบของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร มีดัง ต่อไปนี้
- การเสียเลือดมาก ทำให้เกิด ภาวะตัวซีด ภาวะโลหิตจาง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจากอยู่แล้วให้พบแพทย์ด่วนมื่อพบว่าตัวเองเป็นโรคริดสีดวงทวาร
- อาการหูรูดทวารปิดไม่สนิท เกิดอาการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ เนื่องจากเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่ทำหน้าที่ ช่วยการปิดหูรูดของทวารหนัก เกิดการหลอดเลือดโป่งพองมาขัด
- การติดเชื้อ เช่น ฝี หนอง บริเวณก้นและทวารหนัก หากหลอดเลือดเกิดการขาดเลือด จะเกิดการเน่าเสียของเนื้อเยื่อหลอดเลือดจามมา ซึ่งส่งผลให้เจ็บและปวดอย่างหนัก ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉิน ให้รีบไปพบแพทย์ด่วน
วิธีรักษาริดสีดวงทวาร
สำหรักการรักษาโรคริดสีดวงทวาร นั้น เราสามารถรักษาได้ด้วยการประคับประครองอาการของโรค และรักษาอาการของโรคดดยวิธีทางการศัลย์แพทย์ รายละเอียด ดังนี้
- การรักษาโดยการประคับประคองอาการของโรค เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคและการใช้ยาต่าง ๆ เช่น การใส่ยาทาบริเวณหัวริดสีดวง การเหน็บยา หรือการกินยาต่าง ๆ เป็นต้น ข้อแนะนำในการประคับประครองอาการของโรค มีดังนี้
- ระวังอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเดิน ด้ายการกินอาหารที่มีกากใยอาหาร สูง เช่น ผักและผลไม้
- ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา โดยไม่กลั้นและไม่เบ่งอุจจาระ
- หลีกเลี่ยงการนั่งเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- ควบคุมน้ำหนังตัวให้อยู่ในอัตราปรกติ
- เมื่ออุจจาระเสร้จ ให้ทำความสะอาด
- การรักษาด้วยวิธีทางศัลยกรรม ซึ่งการรักษาแบบนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ซึ่ง มี 4 วิธี คือ การฉีดยาที่หัวริดสีดวง การใช้ยางรัด การเผาหัวริดสีดวง และการผ่าตัดริดสีดวง วิธีการต่างๆในการรักษานั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ โดยรายละเอียดการรักษาริดสีดวงทวาร มีดังนี้
- การรักษาด้วยการฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงทวาร ซึ่งยาจะทำให้หลอดเลือดดำยุบตับ เป็นวิธีที่นิยมใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งจะรักษาในริดสีดวงระยะที่ 2 เป็นวิธีที่สามารถหายขาดได้ถึงร้อยละ 70 ของการรักษา สำหรับการฉีดยานั้น แพทย์จะนัดทุกสัปดาห์ ประมาณไม่เกิน 5 ครั้ง
- การรักษาโดยการใช้ยางรัดหัวริดสีดวง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้หัวของริดสีดวง หลุดออกหรือฝ่อไปเอง ภายใน 5 ถึง 7 วัน วิธีนี้เหมาะกับการรักษาริดสีดวงระยะที่ 2 ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเจ็บปวด แต่หากริดสีดวงอยู่ในแนวเส้นประสาทจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง การรัดหัวริสสีดวงจึงไม่เหมาะกับริดสีดวงที่อยู่ในเส้นประสาท
- การเผาเพื่อทำลายเนื้อเยื่อ วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมนัก ซึ่งส่วมมากแพทย์จะวิธีนี้ เมื่อการรักษาด้วยวิธีก่อนหน้านี้ไม่ได้ผล การเผาเนื้อเยื่อ จะใช้การจี้ด้วยไฟฟ้า การฉายรังสีอินฟราเรด การใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัด การผ่าตัดด้วยการใช้ความเย็น เป็นต้น
- การผ่าตัดริดสีดวงทวาร วิธีนี้จะใช้รักษาริดสีดวงในระยะ 3 และ ระยะ4 การผ่าตัดริดสีดวง แพทย์จะใช้ยาชา หรือยาสลบ หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจเจ็บปวดบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก สามารถใช้ยาแก้ปวดช่วยได้ ระยะพักฟื้นประมาณ 3-4 วัน เป็นวิธีการรักษาแบบเดิม ๆ
การป้องกันโรคริดสีดวงทวาร
การเกิดริดสีดวงเป็นความผิดปรกติของเส้นเลือดดำที่บริเวณทวารหนัก การป้องกันปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเป็นสิ่งที่ช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้ โรคนี้ถึงจะไม่รุนแรง แต่เจ็บปวด ทรมาณกายพอสมควร วิธีการป้องกันการเกิดริดสีดวงเป็นการปรับพฤติกรรมการใช้ชิวิตที่มีผลต่อการเกิดโรค มีรายละเอียด ดังนี้
- การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องการน้ำน้อยวันละ 8-10 แก้ว
- อย่ากลั้นอุจจาระ และฝึกร่างกายให้ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา
- อย่าเบ่งอุจจาระแรง และอย่าอุจจาระนาน
- หลีกเลี่ยงการเกิดโรคท้องร่วง โรคท้องผูก
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปรกติ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำำเสมอ และพยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ
โรคริดสีดวงทวาร ( hemorrhoids ) ภาวะความผิดปรกติของหลอดเลือดดำที่ทวาร เกิดการขอด หรือ โปร่งพอง เป็นหัว เราเรียกว่า หัวริดสีดวง เมื่อเกิดการแตกของหัวริดสีดวง เลือดจะไหลออกมาจำนวนมาก อาการของโรคริดสีดวงทวาร ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปวด เจ็บ และ ระคายเคือง ที่ทวาร จัดเป็นโรคทั่วไปไม่ร้ายแรง การรักษาโรคริดสีดวงทวาร
Last Updated on March 17, 2021