ต้อกระจก เลนส์ตาขาวขุ่น ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด โรคเสี่ยงผู้สูงอายุ เกิดจากโปรตีนที่เลนส์ตาเสื่อมตามวัย อาการมองไม่ชัด แนวทางการรักษาต้อกระจกต้องทำอย่างไร
โรคต้อกระจก ( Cataract ) คือ ภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ซึ่งมีสาเหตุจากหลายอย่าง เช่น ภาวะโดยกำเนิด การได้รับอุบัติเหตุ ความผิดปรกติของดวงตาเอง เป็นต้น มักเกิดกับคนอายุมากกว่า 70 ปี ซึ่งการที่เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถเข้าไปในตาได้ตามปกติ การมองเห็นภาพจึงไม่ชัดเจน โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย
สถานการณ์โรคต้อกระจกในประเทศไทย
สำหรับสถานการณ์ผู้ป่วยตาต้อกระจกในประเทศไทย เหมือนกับประเทศอื่นๆทั่วไป ประชากรที่มีอายุมากตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงและอัตราการเกิดต้อกระจกสูง เช่น ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองจะพบผู้ป่วยต้อกระจกในระดับรุนแรง คือ พบว่ามีลักษณะต้อสุก ประมาณร้อยละ 20 ถึง 30 ของคนผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา สำหรับการรักษาต้อกระจกในประเทศไทย มีโครงการลดการตาบอดจากต้อกระจก ทำให้อัตราการตาบอดจากโรคต้อกระจกลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด
สาเหตุของการเกิดต้อกระจก
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดต้อกระจก คือ ภาวะความเสื่อมของโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของเลนส์ตา ส่งผลให้เลนส์ตาขุ่น ซึ่งพบว่าความเสื่อมตามอายุขัยมีผลต่อความเสื่อมนี้ พบว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยทั้งหมดเกิดจากการเสื่อมสภาพของดวงตาตามวัย แต่ร้อยละ 20 มีสาเหตุของการเกิดโรคมาจากสาเหตุอื่น ซึ่งเราสามารถสรุปปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อกระจก มีรายละเอียด ดังนี้
- ภาวะการเกิดต้อกระจกโดยกำเนิด เกิดจากมารดาติดหัดเยอรมันในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หรือบางทีเป็นกรรมพันธ์ และ โภชนาการของเด็กไม่ดี เรียกว่า ขาดสารอาหาร
- ภาวะต้อกระจกจากการได้รับอุบัติเหตุ การถูกกระทบกระเทือนดวงตาอย่างรุนแรง ในบางครั้งต้อกระจกจะเกิดขึ้นหลังจากเกิดอุบัติเหตุแล้ว 2-3 ปี
- ภาวะความผิดปรกติของดวงตาเอง เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ ตาติดเชื้อ เป็นต้น
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความอ้วน ยาหยอดตา เป็นต้น
- การได้รับรังสีต่างๆกระทบดวงตาเป็นเวลานาน เช่น ช่างเชื่อม การอยู่ในที่แสงจ้านานๆ เป็นต้น
- การสูบบุหรี่และการดื่มสุรา ทำให้ร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปรกติ รวมถึงสุขภาพดวงตาด้วย
- ภาวะแทรกซ้อนจากโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เป็นต้น
อาการผู้ป่วยโรคต้อกระจก
สำหรับผู้ป่วยโรคต้อกระจกจะแสดงอาการที่สายตา และ ประสิทธิภาพการมองเห็นภาพ โดยไม่มีอาการปวดตา ไม่มีอาการตาแดง แต่อย่างใด สามารถสรุปลักษณะของอาการโรคต้อกระจกได้ดังนี้
- สายตาพล่ามัวมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่ๆมีแสงสว่างจัด แต่มองเห็นภาพปรกติในที่มืด
- การมองเห็นผิดปรกติ เช่น การอ่านหนังสือต้องใช้แว่นช่วยอ่าน มองเห็นภาพซ้อน มองเห็นแสงกระจายตอนขับรถกลางคืน เป็นต้น
- สามารถสังเกตเห็นต้อสีขาวตรงรูม่านตาอย่างชัดเจน
การรักษาโรคต้อกระจก
แนวทางการรักษาโรคต้อกระจกในปัจจุบันสามารถรักษาได้โดยลอกต้อกระจกและการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาเทียม เนื่องจากมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย และ มีความปลอดภัยสูง การรักษาโรคต้อกระจก มีแนวทางที่ต้องพิจารณาก่อนทำการรักษา ดังนี้
- หากต้อกระจกยังน้อยอยู่ และไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตในประจำวันมาก อาจสามารถรอให้ต้อกระจกแก่และสุกก่อนก็ได้
- หากมีความผิดปรกติกับดวงตา เช่น ตาแดง ปวดตา ตาพล่ามัวรวดเร็ว ให้รีบพบแพทย์ทันที
- หากเกิดต้อกระจกในระยะปานกลาง สามาถรับการรักษาด้วยการผ่าตัดได้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคนไข้เอง
- หากเกิดในระยะที่เป็นมากแล้ว ระยะนี้เรียก ว่า ต้อกระจกแก่ หรือ ต้อกระจกสุกแล้ว หากพร้อมสำหรับการผ่าตัด ให้สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดลอกต้อกระจกได้
การป้องกันโรคต้อกระจก
สำหรับโรคต้อกระจก สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ด้วยการดูแลสุขภาพดวงตา ไม่ให้อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรค แนวทางการป้องกันโรคต้อกระจก มีรายละเอียด ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
- ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดกับดวงตา ควรใส่เครื่องป้องกันดวงตาหากจำเป็น
- สวมแว่นตากันแดด หากจำเป็นต้องออกนอกสถานที่ที่มีแสงแดดจัด
- หากใช้สายตาอย่างหนัก ควรแบ่งเวลาในการพักการใช้สายตาเป็นระยะๆ
- ไม่ควรสูบบุหรี่และการดื่มสุรา
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
- หากอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาประจำปีอย่างต่อเนื่อง
โรคต้อกระจก ภาวะเลนส์ตาขาวขุ่น ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด โรคเสี่ยงสำหรับผู้สูงอายุ สาเหตุของต้อกระจกเกิดจากโปรตีนที่เลนส์ตาเสื่อมตามวัย อาการของโรค เช่น มองไม่ชัด แนวทางการรักษาต้อกระจกต้องทำอย่างไร