ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง โรคยูซี ( Ulcerative colitis ) เยื่อบุผิวลำไส้ใหญ่อักเสบ เกิดแผลที่ผนังทางเดินอาหาร อุจาระมีเลือด มีไข้สูง อ่อนเพลีย ผิวซีด น้ำหนักลดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ โรคติดเชื้อ โรคในช่องท้อง โรคไม่ติดต่อ

ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง หรือ โรคยูซี มาจากภาษาอังกฤษ ว่า Ulcerative colitis เป็น โรคระบบทางเดินอาหาร เกิดขึ้นที่ลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ เป็น การอักเสบของลำไส้ใหญ่ แบบต่อเนื่อง ระยะยาว รักษาไม่ขายขาดสักที วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง กันว่า สาเหตุของการเกิดโรคเกิดจากอะไร อาการของผู้ป่วยเป็นอย่างไร การวินิจฉัยและการรักษาทำอย่างไร รวมถึงการดูแลผู้ป่วยโรคนี้ ต้องทำอย่างไร

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ นี้ ปัจจุบันยังไม่ทราบ สาเหตุการเกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังอย่างชัดเจนนัก โรคนี้จะมีอาการสำคัญสังเกตุได้จากอุจจาระมีความผิดปกติ หากไม่รักษาอาจ ส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบแบบเรื้อรัง นี้จะพบมากในคนตะวันตกมากกว่าคนเอเชีย เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ รวมถึงประเทศแถบอากาศหนาวอย่าง สวีเดน นอร์เวย เป็นต้น สำหรับประเทศไทยนั้นพบน้อย ซึ่งจะพบมากในคนในแถบเมืองใหญ่

สาเหตุของการเกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง

สำหรับ สาเหตุของการเกิดโรค นี้แบบเรื้อรังนั้น ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้ชัดเจนนัก แต่เรื่องของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนั้น มีผลต่อสาเหตุของโรค รวมถึงปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม รวมถึงพฤติกรรมของผู้ป่วยเองมีผลต่อการเกิดโรคมาก เป็นที่ยอมรับว่าน่าเกิดจากผู้ป่วยบางคนมีพันธุกรรมบางอย่างที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเมื่อร่วมกับปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมบางชนิด แต่สามารถสรุปสาเหตุของการเกิดโรคได้พอประมาณ ดังนี้

  • การถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่ามีในผู้ป่วยโรคนี้ ร้อยละ 10 มีบิดาหรือมารดา เป็นโรคนี้ด้วย และร้อยละ 36 ของผู้ป่วยมีพี่น้องพ่อแม่เดียวกันเป็นโรคนี้เช่นกัน จากข้อมูลดังกล่าว สามารถระบุว่า พันธุกรรมมีผลต่อสาเหตุของการเกิดโรค
  • ระบบลำไส้ผิดปรกติ โดยไม่ตอบสนองต่อภูมิต้านทานโรค รวมถึงไม่มีการต่อต้านเชื้อโรค ที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งลักษณะของการผิดปรกติต่อระบบภูมิต้านทานโรคนั้น เม็ดเลือดขาวมีส่วนต่อความผิดปรกตินี้ เนื่องจากระบบภูมิต้านทานโรคมาจากเมฺดเลือดขาว
  • การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้น ทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบ และรักษาไม่ขายขาด ทำให้เกิดแผลเรื้อรัง ส่วนใหญ่โรคลำไส้ใหญ่อักเสบจะสันนิษฐานว่ามาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หากทราบสาเหตุชัดเจนสามารถใช้ ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อได้
  • การสูบบุหรี่ เราพบว่า ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง เป็นคนสูบบุหรี่ส่วนมาก
  • กลุ่มผู้ป่วยกลุ่มที่มีประวัติการใช้ยาแก้ปวด กลุ่มเอ็นเสดส์ (NSAIDs) ซึ่งยากลุ่มนี้อาจเป็นสาเหตุของโรคได้
  • ความเครียด หรือ การถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้เกิดโรคและเป็นสาเหตุของการกำเริบของโรค
  • เคยมีประวัติการผ่าตัดโรคไส้ติ่งอักเสบ ก็อาจเป็นสาเหตุ เพราะจากสถิติของผู้เกิดโรคผู้เคยผ่าตัวไส้ติ่งมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ไม่เคยผ่าตัดไส้ติ่งมาก่อน

ผลข้างเคียงของผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง

สำหรับโรคนี้ไม่ใช่โรคอันตราย แต่จำเป็นต้องระวังการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ใหญ่เกิดการพองตัวและเน่า ลำไส้ใหญ่เกิดการตีบตัน และ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากโรคแทรกซ้อนแล้ว การปวดท้องส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วย

อาการของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง

อาการของปผู้ป่วยที่พบ คือ ปวดท้องแบบเกร็ง กดที่ท้องจะเจ็บมาก มีอาการท้องเสีย ในผู้ป่วยบางคน อุจาระมีเลือดปน มีไข้สูง เหนื่อย อ่อนเพลีย ผิวซีด เป็นโลหิตจาง และน้ำหนักตัวลด สำหรับอาการของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบแบบเรื้อรัง นั้นมี 2 แบบ สามารถจำแนก คือ โรคCrohn’s disease และ โรคulcerative colitis รายละเอียด ดังนี้

  • โรค Crohn’s disease จะเกิดที่ระบบทางเดินอาหารได้ทุกส่วน ตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก ซึ่งส่วนมากจะเกิดบริเวณลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ลักษณะของโรคนี้ สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ ผนังลำไส้อักเสบบวม เหมือนเป็นฝี ผนังลำไส้อักเสบเป็นแผลจนทะลุ และผนังลำไส้เกิดการอักเสบกระจายทั่วลำไส้ใหญ่
  • โรค Ulcerative colitis จะเกิดขึ้นที่ลำไส้ใหญ่เท่านั้น จะเกิดที่ผนังลำไส้ โดยผู้ป่วย จะมีอาการ เช่น ข้ออักเสบ ตาอักเสบ ตับอักเสบ รวมด้วย

การวินิจฉัยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง

สำหรับการวินิจฉัยโรคนี้ สามารถ สังเกตุจากอาการผิดปรกติของอุจจาระ ได้ จากนั้นต้องทำการตรวจเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการเกิดโรคและสาเหตุของโรค เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง รายละเอียดการตรวจวินิจฉัยโรคมีรายละเอียด ดังนี้

  • การตรวจหาสารภูมิต้านทาน ชนิด Antineutro phil cytoplasmic antibodies (ANCA)
  • การตรวจอุจจาระ เพื่อหาไข่พยาธิ และเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค
  • การตรวจหาค่าการตกตะกอนของเลือด
  • การตรวจเลือด ดูปริมาณเม็ดเลือดแดง ปริมาณเกล็ดเลือด และสารอาหารในเลือด เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค
  • การตรวจทางรังสี ด้วยการสวนแป้งที่ทวารหนักและเอกซเรย์ สามารถตรวจภาวะแทรกซ้อนของโรคได้
  • การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และการตัดชิ้นเนื้อลำไส้ใหญ่ เพื่อทำการตรวจทางพยาธิวิทยา

การรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง

สำหรับ การรักษาโรค นั้น สามารถใช้ การรักษาด้วยยา ได้ ซึ่งจากการวินิจฉัยโรคจะทำให้สามารถทราบว่าต้องใช้ยารักษาอะไรบ้าง ซึ่ง การรักษานั้นเป็น การรักษาอาการอักเสบของลำไส้  ยารักษาไม่ให้อาการกำเริบ ยาช่วยบรรเทาอาการของโรค ยาบรรเทาอาการแทรกซ้อน และยารักษาโรคที่อาจจะเกิดกับอวัยวะข้างเคียง รายละเอียดดังนี้

  • การใช้ยา รักษาอาการอักเสบของลำไส้ จะเป็นยากลุ่ม ยาสเตียรอยด์ (Steroids) และยากลุ่มต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory agents) สำหรับการรักษาอื่นๆ เช่น การให้ยาปฎิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยในลำไส้ใหญ่ รวมถึงการเปลี่ยนถ่ายเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
  • การใช้ยารักษา เพื่อควบคุมอาการอักเสบกำเริบ ซึ่งผู้ป่วยต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลำไส้อักเสบกำเริบ ต้องอยู่ในการควบคุมการสั่งยาของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  • การใช้ยาช่วยบรรเทาอาการอื่นๆ ที่เป็นผลกระทบจาก ลำไส้ใหญ่อักเสบ เช่น การรักษาอาการถ่ายเหลว อาการท้องร่วง สามารถให้น้ำเกลือแร่ทดแทนการเสียน้ำในร่างกาย แต่ถ้าการถ่ายอุจจาระมีเลือดปนในปริมาณมากต้องให้เลือดทดแทนการเสียเลือดเป็นต้น
  • การรักษาอาการจากภาวะแทรกซ้อน เช่น หากลำไส้ใหญ่แตกหรือทะลุ จะมีเลือดออกมาก ซึ่งอาจไม่สามารถควบคุมได้ ต้องได้รับการโดยด่วน

ดูแลและป้องกันโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง

สำหรับการดูแลและป้องกัน โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง นั้นผู้ป่วยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรค และ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ การดูแลและป้องกันโรคนั้น ต้องปรับเรื่องการออกกำลังกายและอาการที่รับประทานในแต่ละวัน รวมถึงพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดอาหาร ชนิดใดเป็นพิเศษ แต่ควรงดอาหารที่ไม่ดีต่อระบบการย่อยอาหาร หรือทำให้ลำไส้ทำงานหนัก เช่น อาหารเผ็ด อาหารเปรี้ยว และงดการกินอาหารในปริมาณมากเกินไป อาหารจำพวก อาหารดิบ อาหารปรุงสุกๆดิบๆ อาหารค้างคืน อาหารหมักดอง ก็ต้องเลิกรับประทาน

การบำบัดรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ นั้นมีวิธีในการรักษาแบบธรรมชาติ ซึ่งเรารวมรวมให้ความรู้ เช่น การฝังเข็ม การปรับการรับประทานอาหาร การใช้สมุนไพร การทานอาหารเสริม และการนวนฝ่าเท้า ซึ่งรายละเอียดดังนี้

  • การฝังเข็มรักษา การฝังเข็มนั้นช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ การฝังเพื่อลดอาการปวด ลดการอักเสบ ควบคุมการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ เป็นลักษณะการรักษาเพื่อบรรเทาอาการของโรค
  • การปรับการรับประทานอาหาร โดยลดอาหารบางชนิด ที่ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนัก โดยรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อย แต่กินบ่อย ๆ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเบาลง โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว มะเขือเทศ อาหารเผ็ด กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้าวโพดหวาน ผักที่มีแป้งสูง เช่น ถั่ว รวมถึงงดอาหารจำพวก พาสต้า และขนมปัง
  • การใช้สมุนไพร มีสมุนไพร หลายชนิด ช่วยรักษาโรคลำไส้เล็กอักเสบได้
  • การใช้อาหารเสริม ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง อาจขาดสารอาหารบางชนิด สามารถใช้อาหารเสริมทดแทนการขาดสารอาหารได้
  • การนวดกดจุดที่ฝ่าเท้า การนวดฝ่าเท่า ช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง โรคยูซี ( Ulcerative colitis ) เยื่อบุผิวของลำไส้ใหญ่อักเสบ ทำให้เกิดแผลที่ผนังทางเดินอาหาร อุจาระมีเลือดปน มีไข้สูง เหนื่อย อ่อนเพลีย ผิวซีด เป็นโลหิตจาง น้ำหนักตัวลด โรคระบบทางเดินอาหาร เกิดที่ลำไส้ใหญ่ รักษาไม่หายขาด สาเหตุ อาการ การรักษาทำอย่างไร ผู้ป่วยต้องทำอย่างไร

หนองใน โกโนเรีย ( Gonorrhea ) ติดเชื้อแบคทีเรียจากน้ำอสุจิและสารคัดหลังในช่องคลอด ทำให้เกิดหนองที่มดลูก ท่อปัสสาวะ ช่องปาก คอ ตา ทวารหนัก การรักษาและป้องกัน

หนองใน โกโนเรีย โรคติดต่อ

โรคหนองใน หรือ โรคโกโนเรีย ภาษาอังกฤษ เรียก Gonorrhea เกิดจากการติดเชื้อโรค ที่มี สาเหตุของการติดเชื้อส่วนใหญ่จากการมีเพศสัมพันธ์ และ เชื้อโรคที่ทำใหเกิดหนองใน คือ เชื้อแบคทีเรีย โดยขาดการป้องกัน โรคนี้ถือเป็นโรคติดต่อ อาการติดเชื้อทำให้เกิดหนองภายในร่างกาย โดยมาก จะเกิดหนองที่ ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ รวมถึงอวัยวะต่างๆที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ช่องปาก คอ ตา ทวารหนัก เป็นต้น

โรคหนองใน สามารถเกิดทั้งใน เพศชายและเพศหญิง โรคนี้ในประเทศไทย มีการสำรวจในปี 2551 พบว่ามีผู้ป่วยโรคนี้ 6,168 ราย มีการมีอัตราการติดเชื้อที่ 9.76 คน ต่อ 100,000 คน หากเปรียบเทียบกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้วพบว่า โรคหนองใน เป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์คิดเป็นร้อยละ 15.43 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหนองใน

สำหรับ ปัจจัยของการเกิดโรคหนองใน นั้น เกิดได้จากการสัมผัสเยื่อบุช่องคลอด ช่องปาก ทวารหนัก หรือ องคชาต ของ ผู้ที่มีเชื้อโรคหนองใน ซึ่ง หนองในสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็น โรคหนองใน จึง ควรระวังในการแพร่เชื้อหนองใน ให้ผู้อื่น นอกจากการสัมผัสผู้ที่มี เชื้อโรคหนองใน แล้ว มีปัจจัยที่มีความเสี่ยงของการติดต่อโรคหนองใน ดังต่อไปนี้

  • กลุ่มวัยรุ่น เป็นวัยที่คึกคะนอง มีความเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันสูง
  • กลุ่มคนที่มีอาชีพหรือกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมการมีคู่นอนมากกว่า 1 คน
  • กลุ่มคนที่เคยมีประวัติการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เช่น โรคซิฟิลิส (Syphilis)
  • กลุ่มคนที่มีพศสัมพันธ์โดยขาดการป้องกันด้วยถุงยางอนามัย
  • กลุ่มผู้เสพติดยาเสพติด

สาเหตุของการติดเชื้อหนองใน

การติดเชื้อโรคหนองใน นั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ไนซีเรีย โกโนเรียอี ภาษาอังกฤษ เรียก Neisseria gonorrhoeae  เชื้อแบคทีเรีย ชนิดนี้ พบได้ในน้ำอสุจิของเพศชายและสารคัดหลังในช่องคลอดของเพศหญิง เชื้อแบคทีเรีย ชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ทีี่มีความอบอุ่น โดยเฉพาะอวัยวะเพศและภายในช่องคลอด รวมถึง ทวารหนัก เยื่อบุตา ช่องปากและคอ เป็นต้น

ดังนั้น หากใครมีเชื้อโรคชนิดนี้อยู่ในร่างกาย และมีกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องสัมผัสในส่วนที่มีเชื้อโรคอยู่ ซึ่งโดย กิจกรรมการมีเพศสัมพันธ์ เป็นกิจกรรมที่สัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรงที่สุด ทำให้เกิดการแพร่เชื้อโรค สำหรับอาการของโรคนี้ มีระยะการฟักตัว หลังจากได้รับเชื้อ ภายใน 10 วัน แต่จะสามารถแสดงอาการของโรคให้เห็นภายใน 5 วัน

เพื่อความเข้าใจใน โรคหนองใน ให้ชัดเจน การสัมผัสผู้ติดเชื้อ เช่น การจับมือ การจูบ การใช้แก้ว จาน ร่วมกัน หรือ การลงสระว่ายน้ำ หรือใช้ส่วมร่วมกับผู้มีเชื้อโรคหนองในไม่ได้ทำให้เกิดการติดเชื้อแต่อย่างใด

อาการของผู้ป่วยโรคหนองใน

สำหรับ อาการของผู้ป่วยโรคหนองใน นั้น เราจะแยก เป็น 3 ลักษณะ คือ การติดเชื้อในเพศชาย การติดเชื้อในเพศหญิง และ อาการที่แสดงออกทั้งเพศชายและเพศหญิง รายละเอียดดัง ต่อไปนี้

  • อาการที่พบสำหรับเพศชาย คือ จะรู้สึกแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะขัด และมีหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ ซึ่งในระยะแรกจะเป็นลักษณะมูกใส ๆ หลังจากนั้นจะเป็นหนองสีเหลืองข้น และมีอาการปวดและบวมที่อัณฑะ มีอาการอัณฑะอักเสบ
  • อาการที่พบสำหรับเพศหญิง คือ มีอาการตกขาวผิดปกติ มีลักษณะตกขาวมาก มีหนองสีเหลือง มีกลิ่นเหม็น มีอาการขัดเบา และแสบเวลาปัสสาวะ ปวดท้องน้อย ปัสสาวะขุ่น มีเลือกะปริบกะปรอยในระหว่างรอบเดือน หากเกิดการติดเชื้อที่มดลูก จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดที่ท้องน้อย
  • สำหรับอาการที่เกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง คือ มีไข้สูง เจ็บคอ เป็นลักษณะติดเชื้อที่คอ หากปวดเวลาอุจจาระ จะมีอาการปวดหน่วงๆ มีหนองปนในอุจจาระ หากติดเชื้อที่เยื่อบุตา จะรู้สึกระคายเคืองที่ตา มีหนองไหลออกมาจากเยื่อบุตา เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคหนองใน

ความอันตรายของโรคหนองใน อยู่ที่ภาวะโรคแทรกซ้อนของการติดเชื้อโรค ซึ่ง หากไม่ทำการรักษาให้ทันท่วงที่อาจเกิดการติดเชื้อลามไปยังอวัยวะอื่นๆ จนยากที่จะรักษาได้ ลักษณะของ โรคแทรกซ้อนของโรคหนองใน มีดังนี้

  • อาการท่อปัสสาวะอุดตัด จากภาวะท่อปัสสาวะอักเสบ
  • อาการต่อมลูกหมากอักเสบ หรือเป็นฝีที่ผนังของท่อปัสสาวะ
  • อาการลูกอัณฑะอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เป็นหมันได้
  • อาการฝีอักเสบที่อวัยวะเพศ
  • อาการอุ้งเชิงกรานอักเสบ ทำให้มีปวดท้อง มีไข้ เกิดถุงหนองภายในช่องท้องน้อยแบบเรื้อรัง
  • อาการติดเชื้อในกระแสเลือด
  • อาการติดเชื้อตามข้อกระดูก
  • อาการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • เยื่อบุหัวใจอักเสบ
  • หัวใจวาย

การติดเชื้อหนองในระหว่างการตั้งครรภ์

โรคหนองใน สามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ หากเกิดการติดเชื้อระหว่างตั้งครรถ์ ซึ่งป็นอันตรายกับลูกในท้อง เช่น หากทารกติดเชื้อที่ตา ก็ส่งผลให้ทารกตาบอด เชื้อโรคหนองในเป็นอันตรายกับทารกมาก หากทราบว่า ติดเชื้อโรคหนองในระหว่างตั้งครรถ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

การวินิจฉัยโรคหนอง

การตรวจวินิจฉัยว่าติดเชื้อโรคหนองในนั้ สามารถทำได้โดยการตรวจสอบประวัติ และอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย และการตรวจเชื้อโรคจากแผล จากปากมดลูก ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก หรือ ช่องคอ เพื่อตรวจดูเชื้อโรค

การรักษาโรคหนองใน

สำหรับการรักษาการติดเชื้อโรคหนองในนั้น สามารถใช้การรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ในการรักษา รวมถึงใช้การรักษาอื่นๆควบคู่เพื่อบรรเทาอาการและรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรค รายละเอียดังนี้

  • ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น  เซฟิไซม์ เซฟไตรอะโซน สเปกติโนมัยซิน การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะค่อนข้างได้ผลดี หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเร็ว สามารถหายได้เร็ว แต่อาการความเสียหายของเนื้อเยื่อต้องใช้เวลาให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง
  • สำหรับผู้ติดเชื้อหนองใน แพทย์จะให้ตรวจเลือด เพื่อดูว่าติดเชื้อโรคอื่นๆหรือไม่ เช่น เชื้อเอชไอวี เชื้อซิฟิลิส
  • สำหรับผู้ป่วยเพศหญิง ที่มีอาการหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ รวมถึง มีไข้สูง ปวดท้องน้อย ขัดเบา ตกขาว แสดงว่าเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่มดลูก ต้องพบแพทย์โดยด้วน ภายใน 24 ชั่วโมง
  • สำหรับสตรีมีครรภ์ ที่ติดเชื้อหนองใน เป็นอันตรายต่อชีวิตของลูกในครรภ์ อาจต้องกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้

วิธีป้องกันการติดเชื้อโรคหนองใน

  • ให้หลีกเลี้ยงการเปลี่ยนคู่นอน หากมีความจำเป็นควรตรวจโรคให้ดีก่อน
  • หลีกเลี่ยงงานหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดการนอนกับคนที่ไม่รู้จัก หรือกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนคู่นอน
  • ให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันในการมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้มีเชื้อโรคหนองใน
  • กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังการร่วมเพศ
  • การกินยาล้างลำกล้อง ซึ่งเป็นยาระงับเชื้อ ไม่ใช่ยาทำลายเชื้อ

โรคหนองใน โรคโกโนเรีย ( Gonorrhea ) การติดเชื้อแบคทีเรียในน้ำอสุจิและสารคัดหลังในช่องคลอด ทำให้เกิดหนองที่มดลูก ท่อปัสสาวะ ช่องปาก คอ ตา ทวารหนัก เป็นต้น รักษาอย่างไร แนวทางการป้องกันทำอย่างไร


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove