แผลร้อนใน แผลเปื่อยในช่องปาก มีหลายปัจจัย เช่น การแปรงฟัน การกิน ไม่ใช่โรคร้ายแรง หายเองได้ภายใน 1 สัปดาห์ ใช้ยาทา หรือ บ้วนปาก เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นแผลร้อนใน แผลในปาก โรคไม่ติดต่อ

แผลร้อนใน ภาษาอังกฤษ เรียก Aphthous ulcer คือ โรคในช่องปาก โดยการ เกิดแผลเปื่อยในช่องปาก มีปัจจัยของการเกิดแผลหลายอย่าง แต่ปัจจัยจากการดำรงชีวิต เช่น การแปรงฟัน การรับประทานอาหาร ทำให้เกิดโรคได้มาก โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง โดยปกติแล้วแผลร้อนใน สามารถหายเองได้ภายใน 1 สัปดาห์ หากพบแพทย์ใช้ยาทา หรือ บ้วนปาก เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

สำหรับโรคแผลร้อนใน นั้นสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่ ร้อยละ 80 เกิดกับคนอายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งเราพบว่า มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนี้ หลายอย่าง โดยรายละเอียด ประกอบด้วย

  • ปัจจัยจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เนื่องจากพบว่า ร้อยละ 40 ของผู้ป่วย มีคนในครอบครัวมีประวัติเกิดแผลร้อนในปาก
  • ความเครียดและความวิตกกังวล
  • พฤติกรรมการชอบกัดลิ้น และ กระพุ้งแก้ม ขณะเคี้ยวอาหาร
  • การแพ้สารเคมีบางชนิด เช่น น้ำยาบ้วนปาก หรือ ยาสีฟัน
  • การแพ้อาหารบางชนิด และ การขาดวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการขาด วิตามินบี ธาตุเหล็ก และะาตุสังกะสี
  • เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเริม
  • การสูบบุหรี่

อาการของโรคแผลร้อนใน

สำหรับอาการสำคัญของแผลร้อนใน ที่พบคือ เจ็บที่เนื้อเยื่อในช่องปาก พบว่ามีแผลเปื่อย ด้านในของริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เหงือก เพดาน ลิ้น ใต้ลิ้น รอยต่อระหว่างริมฝีปากกับเหงือก ในบางรายที่มีอาการรุนแรง พบว่ามีแผลเปื่อยในลำคอด้วย ซึ่งอาการเริ่มต้นจะมีอาการเจ็บบริเซณที่มีแผล ลักษณะแผลจะเป็นรอยกลม หลังจากนั้นแผลจะเปื่อย ทำให้มีอาการเจ็บ ตัวแผลจะมีสีเหลืองหรือสีขาว  ขอบแผลจะแดง  โดยลักษณะของแผลร้อนใน มี 3 ลักษณะ คือ แผลเปื่อยไมเนอร์ ( Minor ulcer ) แผลเปื่อยเมเจอร์ ( Major ulcer ) และ แผลเปื่อยเฮอร์เพติฟอร์ม ( Herpetiform ulcer ) โดยลักษณะของแผลร้อนในมีรายละเอียด ดังนี้

  • แผลเปื่อยไมเนอร์ ( Minor ulcer ) เป็นลักษณะของแผลเปื่อยที่พบมากถึงร้อยละ 80 ของผู้ป่วยแผลร้อนใน แผลมีขนาดเล็ก ไม่เกิน 1 เซ็นติเมตร และแผลไม่ลึก แผลลักษณะนี้ หายได้เองภายใน 14 วัน
  • แผลเปื่อยเมเจอร์ ( Major ulcer ) เป็นลักษณะของแผลร้อนในพบได้ร้อยละ 15 ของผู้ป่วยแผลร้อนใน ลักษณะของแผลมีขนาดใหญ่กว่า 1 เซ็นติเมตร แผลลึก พบบ่อยคนอายุเลยวัยรุ่นไปแล้ว แผลจะหายช้าใช้เวลามากกว่า 14 วัน และมักเกิดแผลร้อนในซ้ำและบ่อย ควรเข้าพบแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่าการเป็นแค่แผลร้อนใน
  • แผลเปื่อยเฮอร์เพติฟอร์ม ( Herpetiform ulcer ) เป็นลักษณะของแผลร้อนในที่มีอาการรุนแรง พบประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยแผลร้อนในปาก และพบมากในเพศหญิง พบว่ามีแผลรุนแรง และมากกว่า 10 แผล

การรักษาแผลร้อนในปาก

สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคแผลร้อนในปาก นั้น แพทยืจะวินิจฉัย จากอาการของผุ้ป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจแผลในช่องปาก การตรวจทางเซลล์วิทยา โดยการขูดเนื้อไปตรวจ แนวทางการรักษาแผลร้อนใน นั้น เริ่มจาก การประคับประคองตามอาการของโรค เช่น การกินยาแก้ปวด ใช้ยาทาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบ การพักผ่อนให้เพียงพอ

การดูแลผุ้ป่วยแผลร้อนใน

สำหรับการดูแลตนเองหรือผู้ป่วย เมื่อเกิดแผลร้อนในปาก นั้นสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้ การพบแพทย์เมื่อเป็นโรคแผลร้อนใน ได้แก่

  • ให้พักผ่อนให้พอเพียง
  • การกินอาหาร ให้กินอาหารที่มีรสอ่อนและรสจืด
  • ให้ดื่มน้ำสะอาด
  • ใช้ยาทาแผลและกินยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการของแผลไม่ให้ลาม
  • หากแผลไม่หายภายใน 14 วัน ให้พบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรค

ป้องกันการแผลร้อนใน

สำหรับการป้องกันแผลร้อนใน นั้นไม่สามารถป้องกันได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดแผลได้ สิ่งที่สามารถทำได้คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดแผลร้อนใน และ ปรับพฤติกรรมการดำรงค์ชีวิตประจำวัน โดยแนวทางการปฏิบัติ มีดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และ ต้องกินอาหารครบห 5 หมู่
  • พยายามผ่อนคลาย อย่าให้ตนเองอยู่ในภาวะความเคลียด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หากเกิดแผลร้อนใน ให้ลองเปลี่ยนยาสีฟัน หรือ ให้เปลี่ยนยาสีฟันเป้นระยะๆ ไม่ใช้ยาสีฟันชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นเวลานาน
  • การเคี้ยวอาหาร ให้เคี้ยวอาหารอย่างมีสติ ไม่ให้ไปกัดลิ้น หรือ กระพุ้งแก้ม
  • ให้รักษาความสะอาดภายในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ

อาหารแนะนำสำหรับคนีแผลร้อนใน

สำหรับอาหารที่มีฤทธิ์รักษาแผลร้อนใน ต้องเป็น อาหารที่มีเย็น เนื่องจากอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนเป็นสาเหตุของการทำให้แผลร้อนในอาการลุกลามได้ อาหารแนะนำสำหรับที่มีฤิทธ์เย็น เช่น มะระ ชะอม ผักกาดขาว ปวยเล้ง แตงกวา ตำลึง ฟักเขียว หัวไชท้าว มะเฟือง แตงไทย ลองกอง อ้อย มังคุด เก๊กฮวย รากบัว หล่อฮั่งก๊วย บัวบก เป็นต้น

โดยทั่วไปแผลร้อนในเป็นโรคไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายได้ใน 1-2 สัปดาห์ ยกเว้นการติดเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้แผลหายช้า อาจทำให้เกิดพังผืด หรือ แผลเป็นตรงตำแหน่งเกิดแผล อย่างไรก็ตามยังไม่เคยมีรายงานว่า แผลร้อนในกลายเป็นโรคมะเร็ง แต่แผลโรคมะเร็งอาจให้ลักษณะแผลเหมือนแผลร้อนในได้ ดังนั้น หากมีแผลร้อนใน และอาการของแผลไม่ดีขึ้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยมะเร็งในช่องปาก โดยเฉพาะ คนที่อายุเกิน 40 ปี

โรคแผลร้อนใน คือ โรคในช่องปาก เกิดแผลเปื่อยในช่องปาก ปัจจัยของการเกิดแผล มีหลายอย่าง เช่น การแปรงฟัน การกิน ทำให้เกิดโรคต่างๆได้ โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แผลร้อนใน สามารถหายเองได้ภายใน 1 สัปดาห์ หากพบแพทย์ใช้ยาทา หรือ บ้วนปาก เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

ถุงลมโปร่งพอง โรคเรื้อรังที่ระบบทางเดินหายใจ ภาวะถุงลมขยายตัวผิดปกติ อาการไอแห้งๆ มีเสมหะเล็กน้อย โรคยอดฮิตของคนสูบบุหรี่ การรักษาโรคถุงลมโปร่งพองต้องทำอย่างไรโรคถุงลมโป่งพอง โรคปอด โรคไม่ติดต่อ โรคทางเดินหายใจ

โรคถุงลมโป่งพอง ทางการแพทย์ เรียก Emphysema เป็นส่วนหนึ่งของโรคปอดอุดกั้น ชนิดเรื้อรัง โดยการอุดกั้นของปอดแบบเรื้อรัง นั้นมี 2 ส่วน คือ โรคหลอดลมอักเสบและถุงลมโป่งพอง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการทั้ง 2 ร่วมกัน ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดโรค เกิดจากการสูบบุหรี่ สามารถรักษาหรือประคับประครองไม่ให้อาการของโรคหนักขึ้น ด้วยการเลิกสูบบุหรี่ โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยและ ยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโลก ในอันดับแรกๆ มีอัตราการเกิดโรค ที่ 18 คนต่อ 1000 คน และพบว่าผุ้ชายมีอัตราการเกิดโรคสูงกว่าเพศหญิง

สาเหตุและปัจจัยของกานเกิดโรคถุงลมโป่งพอง

สำหรับสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคถุงลมโป่งพอง สามารถแยกสาเหตุได้ เป็น 3 สาเหตุ ประกอบด้วย

  • การสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่ ร้อยละ 20 ป่วยเป็นโรคถุงลมโปร่งพอง ยิ่งสูบบุหรี่นานเท่าไร โอกาสของการป่วยดรคนี้ก้ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากควันของบุหรี่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพปอด ทำให้เกิดสารตกค้างในปอด ทำให้ปอดทำงานหนักมากขึ้น
  • การอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีมลภาวะของอากาศ ในเมืองใหญ่มีมลพิษทางอากาศสูง พบว่ามีอัตราการเกิดโรคสูงกว่าเมืองที่ไม่มีมลพิาทางอากาศ เนื่องจากมีการหายใจเอามลพิษเข้าสู่ร่างกาย หากเกิดสารตกค้างมากขึ้น ก็ส่งผลให้เกิดการอุดกั้นของปอดได้
  • ปัจจัยการถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบในคนที่ขาดเอนไซม์ (Enzyme) ชื่อ Alpha-one antitrypsin เป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อ ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาน ความผิดปกติที่เกิดจากการขาดเอนไซม์เพียงเล็กน้อยนั้นไม่ทำให้เกิดโรคได้ แต่หากผู้ป่วยเกิดโรคถุงลมโปร่งพอง โดยไม่ได้รับปัจจัยการเกิดโรคจากการสูบบุหรี่หรือการอยู่ในมลพิษทางอากาศ ก็สามรถสันนิษฐานว่าเกิดจกาการขาดเอมไซม์

อาการและการวินิจฉัยโรค

อาการที่พบสำหรับผู้ป่วยโรคถุงลมโปร่งพอง นั้น พบว่ามีอาการไอเรื้อรัง ซี่งในระยะแรกๆ จะไอตอนเช้า หลังจากตื่นนอน เป็นลักษณะแบบไอแห้งๆ มีเสมหะเล็กน้อย เสมหะมีลักษณะใสๆ ผู้ป่วยเป็นหวัดง่าย เหนื่อยง่าย มีอาการเหนื่อยหอบ เสียงลมหายใจเป้นเสียงหืดๆ อาการเหนื่อยหอบจาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากไม่เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง จะทำให้ภาวะการหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด

การวินิจฉัยโรคของแพทย์ นั้นแพทย์จะสอบถามประวัติของผู้ป่วย และการตรวจสมรรถภาพของปอด เอ็กซ์เรย์ปอด เพื่อวิเคราะห์โรคและ ระดับอาการของโรค

การรักษาโรคถุงลมโปร่งพอง

การรักษาโรคถุงลมโปร่งพองในปัจจุบัน มีการพัฒนามากขึ้น มีแนวโน้มการใช้ยาที่เหมาะสมมากขึ้น โดยการรักษานั้น ทำเพื่อให้สมรรถภาพของปอดดีขึ้น โดยยาที่ใช้การักษาจะเป็นยาที่ใช้เพื่อเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของปอด ลดอาการอักเสบและติดเชื้อของปอด แต่การรักษาโรคนี้นั้น สามารถแบ่งการรักษาโรคได้ 2 วิธี คือ การรักษาโดยการผ่าตัด และ การรักษาโดยการไม่ใช้ยา

  • การรักษาโรคถุงลมโปร่งพอง ด้วยการผ่าตัดนั้นแพทย์จะทำการผ่าตัด 3 ลักษณะ คือ การผ่าตัดเอาถุงลมออก การผ่าตัดเอาปอดบางส่วนออกและการผ่าตัดเปลี่ยนปอด โดยการผ่าตัดเอาถุงลมออก เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยน้อยลง ซึ่งจะใช้วิธีนี้ในผู้ป่วยระยะท้ายๆของโรค การผ่าตัดต้องเลือกใช้กับผู้ป่วยให้เหมาะสม การผ่าตัดถุงลมที่ให้ผลที่ดีนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในส่วนบนของปอดกลีบบน และลักษณะของโรคกระจายเป็นหย่อมๆ เนื้อปอดที่ดียังมีเหลืออยู่ สำหรับการรักษาด้วยการตัดปอดนั้นอาจทำให้กล้ามเนื้อช่วยการหายใจโดยเฉพาะกระบังลมทำงานได้ดีขึ้น และวิธีผ่าตัดแบบสุดท้าย การผ่าตัดเปลี่ยนปอด เรียก Lung Transplantation ต้องทำด้วยแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น
  • การรักษาโรคถุงลมโปร่งพองที่ไม่ใช้ยารักษา เป็นการพื้นฟูสุขภาพปอด เพื่อเพื่มสมรรถภาพการทำงานของปอดให้ดีขึ้น โดยวิธีรักษาใช้ การออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ใช้่ในการหายใจแข็งแรงมากขึ้น การฝึกการหายใจ การระบายเสมหะ การดูแลการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ที่สำคัญ คือ หลีกเลื่ยงการสูบบุหรี่และการอยู่ในสถานที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง

ผลข้างเคียงที่เกิดจากโรคถุงลมโป่งพอง

สำหรับผลข้างเคียงและความรุนแรงของดรคถุงลมโปร่งพองนั้น โรคนี้จะทำให้เสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลว และไม่สามารถทำให้ปอดกลับมาหายเป็นปกติได้

การป้องกันการเกิดโรคถุงลมโป่งพอง

  • ไม่สูบบุหรี่ หรือในผู้ที่สูบบุหรี่ให้เลิกสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีมลพิษทางอากาศ
  • ควบคุมสิ่งแวดล้อมในที่อยู่อาศัย ไม่ให้เกิดมลพิษทางอากาศ

ภาวะถุงลมโปร่งพอง คือ โรคที่เกิดจากภาวะการอุดกลั้นของปอด ที่ให้การทำงานของระบบหายใจผิดปรกติ เกิดจากการสุบบุหรี่หรือการสูดดมมลพิษเป็นเวลานาน สาเหตุหลักของคนเกิดโรคนี้ คือ การสูบบุหรี่ การป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุด ต้องป้องกันที่การให้ความรักและความเข้าใจของคนในครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ต้องสอนให้ลูกได้เข้าใจถึงพิษภัยของการสูบบุหรี่ และ ไม่สร้างปัจจัยที่ทำให้ลูกเลือกทำร้ายตัวเองด้วยการสูบบุหรี่