ท้องผูก ถ่ายอุจจาระลำบาก อุจจาระแข็ง เกิดจากลำไส้ใหญ่ดูดสารอาหาร ทำให้อุจจาระแห้งขึ้นเป็นก้อน ค้างอยู่ในลำไส้ ภาวะขาดน้ำเป็นสาเหตที่ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดน้ำมากขึ้นโรคท้องผูก ถ่ายอุจจาระไม่ออก โรคระบบขับถ่าย โรคไม่ติดต่อ

อาการท้องผูก นั้นอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายประการ เช่น นิสัยในการถ่ายอุจจาระ การออกกำลังกายน้อย การรับประทานอาหารบาง การขาดฮอร์โมนบางอย่าง เป็นต้น

โรคท้องผูก ( Constipation ) จัดว่าเป็นอาการผิดปรกติ ไม่ถึงขั้นเป็นโรค โดยทางการแพทย์ นั้นนิยามอาการท้องผูก นั้นเป็นการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้ง ในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งลักษณะของอุจจาระ จะมีลักษณะแห้งและแข็ง อาการท้องผูกนี้ พบว่าร้อยละ 12 ของประชากรโลก เคยมีประสบการณ์ท้องผูก ซึ่งสามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย แต่เกิดกับสตรีมากกว่าบุรุษ สาเหตุที่พบมากที่สุด คือ การเคลือนตัวของลำไส้ช้ากว่าปรกติ และ ความเครียด

สาเหตุของการเกิดท้องผูก

การเกิดอาการท้องผูก นั้นเป็นอาการที่เกิดจากสาเหตุของลำไส้เคลื่อนที่ช้าและบีบตัวได้น้อยสำหรับการย่อยอาหาร ซึ่งทำให้การกำจัดของเสียทางทาวารหนังไม่ปรกติ เกิดอุจจาระตกค้างในลำไส้ใหญ่ การที่อุจจาระขับถ่ายออกยากนั้น จะมีลักษณะแข็ง แห้ง และมีขนาดใหญ่ โดยเราสามารถแยกสาเหตุที่ทำให้ลำไส้เคลื่อนที่และบีบตัวช้า นั้น มีสาเหตุดังนี้

  • เกิดจากผลของการใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาลดกรด ยาระงับอาการทางจิต ยารักษาอาการชัก อาหารเสริมกลุ่มแคลเซียมและธาตุเหล็ก ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
  • ความผิดปรกติของฮอร์โมนร่างกาย จากการขาดความสมดุลของระบบฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการรักษาของเหลวในร่างกาย ซี่งเกิดจากโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคเบาหวาน การตั้งครรภ์ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ เป็นต้น
  • ความผิดปรกติของร่างกายเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ การบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้และทวารหนัก มีผลต่อการเกิดท้องผูก หากกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้ดี การเคลือนที่ของลำไส้อละทวารหนัก ก็ทำได้น้อย ลักษณะสาเหตุของอาการ เช่น เส้นประสาทถูกทำลายจากโรคเบาหวาน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคพาร์กินสัน เส้นประสาทไขสันหลังบาดเจ็บ โรคหลอดเลือดในสมอง เป็นต้น
  • ความผิดปรกติของลำไส้ โดยเกิดการอุดตันภายในลำไส้ บริเวณทวารหนัก เช่น แผลปริขอบทวารหนัก ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ใหญ่ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าสาเหตุของอาการท้องผู้นั้น เกิดจากความผิดปรกติของ ร่างกายที่เกี่ยวกับลำไส้ ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำในร่างกาย กล้ามเนื้อ ซึ่งนอกจากนี้แล้ว การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน เป็นปัจจัยเอื่ออำนวยให้เกิดการท้องผูกได้มากขึ้น ปัจจัยที่ทำให้มีคามเสี่ยงท้องผูก มีรายละเอียด ดังนี้

  • การอั้นอุจจาระ
  • การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อย
  • การขาดการออกกำลังกาย
  • ภาวะน้ำหนักตัวมากผิดปรกติหรือโรคอ้วน
  • การดื่มน้ำน้อยและภาวะการขาดน้ำ
  • ความเครียด
  • การเสื่อมของร่างกายตามวัย

การรักษาอาการท้องผูก

สำหรับการรักษาอาการท้องผูกนั้น แนวทางการรักษาที่สำคัญ คือ การทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มเคลื่อนที่ง่าย ต้องกินอาหารมีกากใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ และดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 ถึง 10 แก้ว รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การแก้ปัญหาอาการท้องผูก สามารถทำได้ตามคำแนะนำข้างต้น แต่หากไม่ดีขึ้น นั้น สามารถใช้ยาระบาย ช่วยให้ถ่ายอุจจาระง่ายขึ้น แต่การใช้ยาระบายต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม หากใช้มากเกินไป จะทำให้ร่างกายขาดน้ำและช็อกได้

อาหารช่วยแก้ท้องผูก

สำหรับอาหารแนะนำในการแก้ท้องผูก จะเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ทานเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาอาการท้องผูกได้โดยไม่ต้องรักษาด้วยยา อาหารแนะนำมีดังนี้

  • มะขามเปียก ให้นำมะขามเปียกมาขยำเอาน้ำและต้มสุกใส่เกลือนิดหน่อยดื่ม หรือ กินมะขามสุกสดๆจิ้มเกลือและดื่มน้ำเปล่าตามมากๆ
  • มะขามแขก ให้นำใบแห้ง 1 ถึง 2 หยิบมือ หักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ ดื่มก่อนนอน
  • ลูกพรุนแห้ง ให้รับประทานทั้งผล ตอนกลางคืนก่อนเข้านอน
  • แอปเปิลเขียว ให้รับประทานทั้งผล ช่วยเพิ่มกากใยอาหาร
  • สับปะรด และมะละกอ มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมด ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น
  • เม็ดแมงลัก นำเม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา แช่ในน้ำเปล่า ดื่มก่อนนอน จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
  • ขี้เหล็ก เป็นสมุนไพรกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ช่วยการขับถ่าย นำใบอ่อน  4 ถึง 5 กำมือ มาต้มกับน้ำ ดื่มก่อนนอน
  • กล้วยน้ำว้าสุก เป็นผลไม้ช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ควรทานทุกวัน ๆ ละ 2 ผล
  • มะเฟือง ผลไม้รสเปรี้ยว มีฤทธิ์เป็นยาระบาย และช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

การป้องกันอาการท้องผูก

สำหรับการป้องกันการเกิดอาการท้องผู้นั้น สามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

  • กินอาหารมีกากใยอาหารสูง
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ผ่อนคลาย ลดความเครียด
  • มีอาการท้องผูกนานเกิน 7 วัน ให้รีบปรึกษาแพทย์
  • หากมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และ อุจจาระมีเลือดปน ให้รีบพบแพทย์

ภาวะท้องผูก หมายถึง อาการถ่ายอุจจาระลำบาก มีอุจจาระแข็ง สำไส้ใหญ่จะดูดน้ำและสารบางอย่างเพื่อนำสารอาหารที่มีประโยชน์ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งการที่ลำไส้ใหญ่ดูดสารอาหารทำให้อุจจาระแห้งขึ้นเป็นก้อน ค้างอยู่ในลำไส้ แต่ภาวะขาดน้ำ ก็เป็นสาเหตที่ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดน้ำมากขึ้น

คราบหินปูน ความผิดปรกติในช่องปากเกิดจากน้ำลาย เศษอาหารและแบคทีเรีย เกาะติดกับฟัน หินปูนทำให้เหงือกอักเสบ ปากเหม็น ความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ รักษาด้วยการขูดหินปูนคราบหินปูน โรคในช่องปาก โรคไม่ติดต่อ โรคเกี่ยวกับฟัน

คราบหินปูน ( Dental plaque ) คือ คราบสีขาวเกาะที่ฟัน เมื่อเกิดการเกาะตัวมากขึ้นจะทำให้คราบสีขาวนั้นมีขนาดใหญ่และแข็งมากขึ้น หากไม่กำจัดออกจะทำให้เชื้อแบคทีเรีย สร้างกรด เพื่อทำลายฟัน ซึ่งไม่สามารถกำจัดด้วยการแปรงฟันได้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดคราบหินปูน

สำหรับปัจจัยของการเกิดคราบหินปูนนั้น มีปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดคราบหินปูน มีดังนี้

  • การสูบบุหรี่เป็นเวลานานๆ
  • ลักษณะของฟัน ที่สบกันไม่ดี
  • พฤติกรรมการชอบนอนกัดฟัน
  • ชอบทานอาหารที่มีรสหวาน
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนร่างกาย เช่น วัยรุ่น ตั้งครรภ์ วัยทอง เป็นต้น
  • ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
  • เกิดจากการใช้ยาบางประเภท เช่น ยาลดความดันโลหิต ยากันชัก เป็นต้น
  • อาการปากแห้ง

สาเหตุของการเกิดคราบหินปูน

ที่ผิวฟันของเรานั้นมีส่วนที่หุ้มฟันอยู่ ผิวฟันจะเรียบและมัน เมื่อผิวฟันถูกน้ำลายจะทำให้เกิดสารไกลโคโปรตีนจากน้ำลาย ที่มีน้ำตาล และโปรตีน หลังจากทำความสะอาดฟันแล้ว สารเหล่านี้จะเจือจางลง และเกิดสารบางเหลืออยู่ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียมาเกาะที่ฟัน ซึ่งจะพบมากที่ขอบเหงือก และ หลุมร่องฟัน ซึ่งการเกาะของเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้เกิดคราบหินปูน เป็นแคลเซี่ยม เกาะติดแน่น การกำจัดคราบหินปูนนั้นต้องให้ทันตแพทย์ขูดออก

อันตรายของคราบหินปูน

คราบหินปูน เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งการเกิดคราบหินปูนทำให้เกิดโรคได้ ดังนี้

  • ทำให้เกิดฟันผุ เมื่อเชื่อจุลินทรีย์ปล่อยกรดออกมา กรดนี้จะกัดกร่อนผิวเคลือบฟัน ทำให้เกิดเป็นร่องหากทิ้งไว้นานฟันจะผุได้
  • ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ เมื่อมีเชื้อเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในปาก เชื้อนี้จะปล่อยสารพิษออกปนกับน้ำลาย ทำให้เกิดเหงืออักเสบได้
  • ทำให้เกิดโรคปริทนต์ คราบหินปูนจะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะทำลายฟัน
  • ทำให้เกิดโรคหัวใจ เนื่องจากเหงือกอักเสบจากคราบหินปูน ทำให้เกิดการติดเชื้อที่หลอดเลือด ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน เกิดภาวะหลอดเลือดตีบ
  • ทำให้เกิดเลือดออกตามไรฟัน ซึ่งอันตรายของเลือดออกตามไรฟัน คือ การติดเชื้อในกระแสเลือด
  • ทำให้เหงือกบวม
  • ทำให้ฟันเหลือง เนื่องจากแคลเซียมและจุลินทรีย์เกาะเคลือบผิวฟัน เกิดเป็นสีเหลือง
  • ทำให้เกิดกลิ่นปาก เนื่องจากคราบหินปูน มีเชื้อแบคทีเรียเกาะที่ฟัน ทำให้เกิดกลิ่น
  • ทำให้เหงือกร่น เนื่องจากหากหินปูนเกาะตัวและมีขนาดใหญ่ขึ้น ดันให้เหงือกร่น
  • ทำให้ฟันโยกและฟันห่าง เมื่อหินปูนดันเหงือกลงมาก ๆ ทำให้เหงือกยึดฟันได้น้อย เวลาเคี้ยวอาหาร จะทำให้เกิดความเสี่ยงให้ฟันโยก และถ้าหินปูนที่ใหญ่ขึ้นจะดันให้ฟันห่างกัน

ดังนั้น หากแปรงฟันทุกวัน วันละสองครั้ง ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟัน จะช่วยลดการเกิดคราบหินปูนได้

การรักษาคราบหินปูน

สำหรับการรักษาคราบหินปูน สามารถทำได้โดยการพบทันตแพทย์ เพื่อทำการขูดคราบหินปูนออก เป็นการรักษาที่ง่าย  ใช้เวลาไม่นาน และ ไม่ทำให้เกิดการเจ็บปวด วิธีขจัดคราบหินปูนในช่องปาก นั้นสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

  1. ลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดคราบหินปูน เช่น การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีรสหวาน การดื่มสุรา
  2. แปรงฟันทุกวัน วันละ 2 ครั้ง และควรดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงสีฟันอย่างถูกต้องและใช้ไหมขัดฟันหลังแปรงฟัน
  3. ขัดฟันด้วยเปลือกหมากสด คนสมัยก่อนใช้วิธีนี้ในการป้องกันการเกิดคราบหินปูน
  4. การพบทันตแพทย์ เพื่อทำลายคราบหินปูนออก

การป้องกันการเกิดคราบหินปูน

การเกิดคราบหินปูนนั้น เป็นอันตรายต่อสุภาพและ ทำให้เกิดผลเสียต่อบุคลิกภาพพอสมควร การป้องกันการเกิดคราบหินปูน ช่วยลดการเกิดคราบหินปูน ควรปฏิบัติ ดังนี้

  • ให้แปรงฟันทุกวัน โดยอย่างน้อยต้องแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง
  • การเลือกแปรงสีฟัน ให้เลือกแปรงที่ขนแปรงนุ่ม ปรายของแปรงมนไม่แหลม
  • การแปรงฟันให้เน้นแปรงที่รอยต่อระหว่างเหงือกและฟัน
  • การเลือกใช้ยาสีฟันให้เลือกใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์
  • ให้ใช้ไหมขัดฟัน ในการทำความสะอาดฟันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง
  • หมั่นตรวจสุขภาพฟันประจำปี
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีรสหวาน อย่างขนมหวาน หากต้องการรับประทานอาหารที่มีรสหวานให้เลือกรับประทานผลไม้แทน

สำหรับคราบหินปูน หลายๆคนมองข้ามการกำจัดคราบหินปูน เนื่องจากไม่ทำให้การใช้ชิวิตผิดปรกติ เพราะ แขน ขา สมอง สามารถทำงานได้อย่างปรกติ จึงทำให้คนมองข้ามการเกิดคราบหินปูน จากข้อมูลที่เรานำเสนอ เป็นสิ่งที่ดีทำให้เราได้รู้ถึงภัยของหินปูนในปาก ทำให้เกิดโรคหัวใจได้ ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบได้ จึงไม่ควรมองข้ามปัญหาคราบหินปูนได้เลย

คราบหินปูน คือ ภาวะความผิดปรกติในช่องปาก คราบหินปูนเกิดจากน้ำลาย เศษอาหารและเชื้อแบคทีเรีย เกาะติดกับฟัน เป็นเวลานาน ทำให้เกิดเป็นหินปูนเกาะที่ฟัน ซึ่งส่งผลต่อการทำให้เกิดการอักเสบของเหงือก และมีความเสี่ยงเป้นโรคหัวใจได้ มาทำความรู้จักกับคราบหินปูนกันให้มากขึ้น