อัมพาต ภาวะสมองขาดเลือด ( Ischemic Stroke ) ส่งผลต่อประสาทควบคุมร่างกาย ทำให้แขนขาอ่อนแรง เกิดจากหลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก เป็นภาวะฉุกเฉินทำให้เสียชีวิตได้โรคซีวีเอ โรคอัมพาต ภาวะสมองขาดเลือด โรคสมองขาดเลือด

โรคอัมพาต เกิดจากภาวะสมองขาดเลือด ส่งผลให้ระบบประสาทควาบคุมร่างกายไม่สามารทำงานได้ แขน ขา อ่อนแรง ไม่สามารถขยับได้ ผู้ป่วยที่เกิดภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว ร้อยละ 20 สามารถหายได้ภายใน 90 วัน หากสามารถหาสาเหตุของปัญหาทัน ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ส่วนใหญ่จะไม่เสียชีวิต แต่จะอยู่ในภาวะซึมเศร้าและตรอบใจตาย

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอัมพาต

การเกิดโรคสมองขาดเลือด ปัจจัยทั้งหมดเกิดจากปัจจัยการดำรงชิวิตที่ไม่ถูกวิธีเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการกิน และความเครียด ปัจจัยเสี่ยงมีดังนี้

  • เกิดจากโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากแรงดันโลหิตสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดเปราะ ทำให้หลอดเลือดสมองแตก ทำให้สมองขาดเลือด
  • เกิดจากโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะทำให้เลือดสูบฉีดมาก ทำให้แรงดันเลือดสูง เป็นโรคที่อยู่คู่กับโรคความดันโลหิตสูง
  • เกิดโรคอ้วน การมีน้ำหนักตัวมาก ทำให้เกิดการสะสมไขมันส่วนเกินในเลือดสูง เมื่อไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือดทำให้แรงดันเลือดสูงขึ้น และอาจทำให้แตกได้
  • การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสิ่งนี้ทำให้ผนังหลอดเลือดบาง ทำให้หลอดเลือดเปราะและแตกง่าย
  • การไม่ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ระบบภายในร่างกายไม่แข็งแรง
  • การอยู่ในภาวะเครียด ไม่ผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • ปัจจัยเกี่ยวกับอายุ เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายก็เสื่อมสภาพตามการใช้งาน ซึ่งพบว่าคนอายุ 45 ปีขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่สุด
  • การเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อเส้นเลือด และแรงดันเลือด
  • กรรมพันธ์ พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ คนในครอบครัวมีโอกาสเกิดโรคนี้สูงกว่าปรกติ

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้มากกว่าปรกติ จากภาวะสภาพสังคมที่เครียดและการแข่งขันสูง

สำหรับการเกิดอัมพาต นั้นจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เราสามารถสังเกตุความเปลี่ยนแปรงของร่างกายได้ว่าหากมีความผิดปรกติ สามารถหาแพทย์เพื่อรักษาให้ทันเวลา โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ ชาที่แขนขา จากนั้านแขขาจะเริ่มอ่อนแรง หรือมีอาการชา หรืออ่อนแรงที่ร่างกายซีกใดซีกหนึ่ง สายตาจะมืด และมองไม่เห็นชั่วคราว มีภาพซ้อนและเบลอ เวียนหัว อาการบ้านหมุน เป็นลมบ่อยๆ และปวดหัวอย่างรุนแรง การพูดจาไม่ชัด ออกเสียงลำบาก มีอาการพูดตะกุกตะกัก พูดติดขัด ออกเสียงไม่ชัด  ความสามารถการกลืนอาหารลดลง อาการเหล่านี้หากหายภายใน 24 ชั่วโมง สามารถจะกลับสูภาวะปรกติ หากเกิน 24 ชั่วโมง ถือว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ต้องใช้เวลาในการบำบัด

สาเหตุของการเกิดโรคอัมพาต

สาเหตุของการเกิดโรคอัมพาต หรือ โรคอัมพฤกษ์ เกิดจากสมองขาดเลือดอย่างกระทันหัน ซึ่งสาเหตุของสมองขาดเลือด เกิดจาก 2 สาเหตุสำคัญ คือ หลอดเลือดแดงไปเลื้ยงสมองอุดตัน และหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงสมองแตก

  • หลอดเลือดสมองอุดตัน เกิดจากหลอดเลือดแดงสมองตีบตัน สาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดแดงตีบ คือ ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน การสูบบุหรี่ เกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมอง หรือ ลิ่มเลือดจากโรคหัวใจเต้นรัว
  • หลอดเลือดสมองแตก เป็นสาเหตุที่พบมาก เกิดจากภาวะหลอดเลือดสมองโปร่งพอง จากโรคความดันโลหิตสูง

แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองมีปัญหา ไม่ได้เกิดจากปัญหาของหลอดเลือดโดยตรง แต่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน โรคความดัน และภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงคือ การใช้ชีวิตไม่ถูกวิธี คือ การพักผ่อนน้อย กินอาหารไม่มีประโยชน์ และเครียด

อาการของผู้ป่วยโรคอัมพาต

สำหรับอาการได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น แต่เราจะแสดงรายการอาการโรคอัมพาต เพื่อให้ดูง่ายมากขึ้นมีดังนี้

  • แขน ขา ชาและอ่อนแรงไม่สามารถขยับได้ หรือ อ่อนแรงครึ่งซีก ข้างใดข้างหนึ่ง
  • ความสามารถในการพูด และฟังน้อยลง
  • มีปัญหาระบบการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว มองไม่ชัด เห็นภาพเพียงบางส่วน เห็นภาพได้แคบลง
  • ความสามารถในการหายใจน้อยลง ทำให้หายใจลำบาก และเหนื่อยหอบง่าย
  • ปวดหัว เวียนหัว เสียความสามารถในการทรงตัว
  • ปวดหัวอย่างรุนแรงแบบกระทันหัน
  • คลื่นไส้อาเจียน

การตรวจวินิจฉัยโรคอัมพาต

การตรวจวินิจฉัย แพทย์จะสังเกตุจากอาการ การตรวจร่างกาย เช่น ความดันโลหิต การตรวจการเต้นของหัวใจ การตรวจระบบประสาท การตรวจเลือด เพื่อดูน้ำตาลและไขมันในเลือด จากนั้นทำการตรวจสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

การรักษาโรคอัมพาต

สำหรับการรักษานั้น ต้องรักษาตามอาการของสาเหตุที่ทำให้สมองขาดลเือด

  • หากเกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ต้องเข้ารับการผ่าตัด ใส่สารบางอย่างเพื่อไปอุดหลอดเลือด
  • หากเกิดจากภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง สามารถรักษาโดยการให้ยาละลายลิ่มเลือด

นอกจากนั้นแล้ว การรักษาจะทำเพื่อป้องกันการเกิดโรคอีกครั้ง เช่น การให้กินยาลดการแข็งตัวของเลือด การควบคุมการเกิดโรคที่มีผลต่อหลอดเลือด เช่น รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคเบาหวาน และรักษาโรคไขมันในหิตสูง รวมถึงการทำกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข้งแรง และฝึกการพูด เป็นต้น

การดูแลตนเองและดูแลผู้ป่วยโรคอัมพาต

  • ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ให้ขยันทำกายภาพบำบัด
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน ของผู้ป่วยให้ดี เพื่อคามเสี่ยงการติดเชื้อ
  • จัดสถานที่ที่มีผู้ป่วยให้เหมาะสม และเพื่อความสะดวกในการช่วยตัวเองได้
  • จัดอาหารให้ครบหมวดหมู่ และถูกสุขอนามัย

ป้องกันโรคอัมพาต

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคที่หมด
  • ไม่สูบบุหรี่
  • ไม่ดื่มเครื่องดืมผสมแอลกอฮอ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ลดของหวาน และไขมัน
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในภาวะปรกติ
  • ตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี
  • ในผู้ป่วยให้กินยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

ผลข้างเคียง ที่เกิดจากโรคอัมพาต นั้น คือ คุณภาพชีวิตที่ลดลง ความพิการ ปัญหาด้านการทำงาน ปัญหารายได้ ซึ่งทั้งหมด จะส่งผลผลต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพ เป็นอย่างมาก

โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ เกิดจากภาวะสมองขาดเลือด เป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง ทำให้เสียชีวิตได้ และหากรอดชีวิตร่างกายก็จะไม่กลับสู่ปรกติ มักจะพิการ ช่วยตัวเองไม่ได้มาก ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย รวมถึงเกิดภาวะโรคซึมเศร้า ด้วย เป็นโรคที่ต้องการกำลังใจในการใช้ชีวิตสูงมาก

หลายคนเรียกโรคนี้ว่าโรคเวรโรคกรรม เหมือนตายทั้งเป็น เป็นโรคที่ไม่ฆ่าใครตายแต่สร้างความทรมานทางจิตใจมาก ในปัจจุบันภาวะสังคมที่มีการแข่งขันสูง ความเครียดทำให้เกิดโรคนี้มากขึ้น ในวันที่ 24 พ.ค.ของทุกปี เป็นวันอัมพฤกษ์ อัมพาตโลก วันหลอดเลือดสมอง ผู้เกี่ยวข้องด้านสาะารณสุขจะออกมารณรงค์ให้ประชาชน หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ ร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง เพื่อป้องกัน โรคสมองขาดเลือด เรามาทำความรู้จักกับโรคสมองขาดเลือด โรคอัมพาต ให้ละเอียดมากขึ้น ว่า ปัจจัยเสี่ยงของโรค สาเหตุของโรค อาการ การรักษา และการดูแลผู้ป่วย จะทำอย่างไร

จากสถิติของประชากรไทย ปี พ.ศ.2547 พบว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของหญิงไทยอันดับหนึ่ง ร้อยละ 15 ของการเสียชิวิต การเกิดโรคหลอดเลือดในสมอง ของคนไทย มีอัตรา 250 คน ต่อ หนึ่งแสนคน คนไทยเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง ปีละ 150,000 คน มีการเสียชีวิตทุกๆ 10 นาที จากโรคนี้

โรคอัมพาต เป็นอาการ แขน ขา หรือร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ขยับไม่ได้ และอ่อนแรง ส่วนอัมพฤกษ์ คือ อาการ แขน ขา อ่อนแรงกว่าเดิม แต่สามารถใช้งานได้อยู่ ทั้งสองอาการเกิดจากอาการสมองขาดเลือด จึงทำให้เกิดอาการแขนขาใช้งานไม่ได้ หรืออ่อนแรง โรคนี้ทางการแพทย์ เรียก โรคซีวีเอ ย่อมาจาก cerebrovascu lar accident

อาการผิดปกติของร่างกายที่ที่เกิดจากสมองขาดเลือด นานกว่า 24 ชั่วโมง โรคอัมพาต สามารถพบได้มากในคนอายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งสามารถพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคนี้มีหลายปัจจัย เราได้รวมปัจจัยของการเกิดอัมพาต มาให้ มีดังนี้

โรคอัมพาต ภาวะสมองขาดเลือด ( Ischemic Stroke ) คือ ภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ส่งผลให้ระบบประสาทควบคุมร่างกายทำงานผิดปรกติ แขนขาอ่อนแรง เกิดจาก หลอดเลือดแดงไปเลื้ยงสมองอุดตัน หรือ หลอดเลือดแดงไปเลี้ยงสมองแตก กรณีรุนแรงรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ สาเหตุ อาการ การรักษา การป้องกันโรค

ริดสีดวงทวาร ( hemorrhoids ) หลอดเลือดดำที่ทวารเกิดการขอดหรือโปร่งพอง เมื่อเกิดการแตกเลือดจะไหลมาก อาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปวด เจ็บ และ ระคายเคือง ที่ทวารโรคริดสีดวงทวาร โรคระบบขับถ่าย โรคติดเชื้อ โรคระบบทางเดินอาหาร

โรคริดสีดวงทวาร  ภาษาทางการแพทย์ เรียก  hemorrhoids เกิดจากความผิดปรกติของหลอดเลือดดำ ที่ทวารหนัก เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อย ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคมีหลายปัจจัย เมื่อเกิดโรคริดสีดวงทวารขึ้นกับร่างกายมนุษย์ จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ริดสีดวงทวาร มีอาการสำคัญ คือ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด โดยเฉพาะเวลาเบ่งอุจจาระแรงๆ ริดสีดวงทวารหนัก เป็นโรคทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ร้ายแรง แต่สร้างความทุกข์ทรมานและความรำคาญ สำหรับผู้ป่วยพอสมควร วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้ละเอียดไปด้วยกัน

ริดสีดวง ภาษาอังกฤษ เรียก Hemorrhoids หรือ Piles เกิดจากหลอดเลือดดำ บริเวณทวารหนักเกิดการขอด หรือ โปร่งพอง เป็นหัว เราเรียกหลอดเลือดดำที่ขดเป็นก้อนนี้ว่า หัวริดสีดวง เมื่อเกิดการแตกก็จะเกิดเลือดไหลออกมาจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นเวลา ท้องผูก ท้องเดิน แต่โดยปกติแล้วอาการจะไม่รุนแรงและไม่อันตราย แต่จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวล หากเกิดอาการแบบเป็นๆหายๆ

สำหรับการเกิดหัวริดสีดวง นั้นเราสามารถพบได้หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นหัวเดียว หรือหลายๆหัว ทั้งเกิดภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย สำหรับโรคริดสีดวงทวารนั้น เราสามารถแบ่งชนิดของโรคได้เป็น 2 ชนิด คือ ริดสีดวงภายนอก เราเรียกว่า External Hemorrhoids และริดสีดวงภายใน เราเรียกว่า Internal hemorrhoids

ชนิดของโรคริดสีดวงทวาร

ริดสีดวง เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ริดสีดวงภายนอกและริดสีดวงภายใน ซึ่ง ทั้ง 2 ชนิดมีความเหลือนและแตกต่างกันอย่างไร นั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ริดสีดวงทวารภายนอก ภาษาอังกฤษ เรียก External hemorrhoids ลักษณะของริดสีดวง จะขึ้นตามชั้นผิวหนังตามแนวเส้นประสาท ซึ่งเส้นประสาทรับความรู้สึก หากเกิดที่ปากทวารหนักจะเจ็บปวดมาก เมื่อเกิดการกระทบกระเทือน เบาะรองจากบริเวณรูทวารหนักเลื่อนตัวลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปากทวารหนัก กลุ่มเส้นเลือดและเนื้อเยื่อเหล่านี้จะเบียดออกไปด้านข้างจนกลายเป็นก้อนนูนที่ปากทวารหนัก
  • ริดสีดวงทวารภายใน ภาษาอังกฤษ เรียก Internal hemorrhoids ลักษณะปกคลุมด้วยเยื่อบุลำไส้ มักเกิดขึ้นเหนือแนวเส้นประสาทและรูทวารหนัก ซึ่งจะไม่กระทบกับเส้นประสาทรับความรู้สึก ทำให้ริกสีดวงทวารภายใน ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ส่วนใหญ่ผู้ป่วยริดสีดวงทวารภายในจะไม่รู้ตัว ซึ่งลักษณะของริดสีดวงภายในจะมี 2 ลักษณะ คือ ริดสีดวงภายในแบบเป็นก้อนยื่นออกจากทวาร เรียก Prolapsed hemorrhoids และ ริดสีดวงทวารภายในแบบบีบรัด เรียก Strangulated hemorrhoids  สำหรับระยะของโรคริดสีดวงทวารแบบภายในนั้น เราสามารถแบ่งระยะของโรคได้เป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่1 ระยะที่2 ระยะที่3 และระยะที่4 ซึ่งรายละเอียดของแต่ละระยะ มีดังนี้
    • ริดสีดวงทวารภายใน ระยะที่ 1 เกิดหลอดเลือดดำโป่งพอง ภายในทวารหนักและลำไส้ แต่ยังไม่มีหัวริดสีดวง ในระยะนี้ สามารถรักษาได้ด้วยยา หรือฉีดยาในตำแหน่งที่มีเลือดออก
    • ริดสีดวงทวารภายใน ระยะที่ 2 เกิดหัวริดสีดวงโผล่ออกมาบริเวณปากทวารหนัก ซึ่งในระยะนี้ หัวริดสีดวงจะโผล่เข้าๆออกๆ ในระยะนี้ สามารถใช้การยิงยางรัดโคนของริดสีดวงที่โผล่ออกมาทำให้หัวริดสีดวงฝ่อและหลุดออกมาเอง
    • ริดสีดวงทวารภายใน ระยะที่ 3 เกิดหัวริดสีดวงขนาดใหญ่ขึ้น และไม่สามารถกลับเข้าทวารหนักได้
    • ริดสีดวงทวารภานใน ระยะที่ 4 เกิดหัวริดสีดวงขนาดใหญ่ ค้างอยู่ปากทวารหนัก ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บและปวด จำเป็นต้องรีบรักษา เนื่องจากหากหัวริดสีดวงเกิดการขาดลือด จะเน่า และเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

สาเหตุของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดโรคนี้ คือ หลอดเลือดดำ ที่อยู่ใต้ผิวหนังและใต้เยื่อเมือกบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพอง จนเป็นหัว เนื่องจากมีภาวะความดันของหลอดเลือดดำสูง เราสามารถแจงสาเหตุที่ทำให้ความดันหลอดเลือดดำสูง ประกอบด้วย

  • พฤติกรรมการบริโภคอาหาร ที่มีกากใยอาหารน้อย
  • การเกิดโรคท้องผูกแบบเรื้อรัง ซึ่งการเกิดโรคท้องผูก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ การเบ่งอุจจาระ ส่งผลให้เกิดแรงดันของหลอดเลือดตำที่บริเวณทวารหนักมากขึ้น ทำให้เกิดการโป่งพองหรือขอดตัวของหลอดเลือดดำได้ง่าย
  • การเกิดโรคท้องเดิน ท้องเสียบ่อยๆ แบบเรื้อรัง การถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ  ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ที่เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารได้
  • พฤติกรรมการถ่ายอุจจาระที่ไม่ถูกต้อง การเบ่งอุจจาระแรงๆ หรือการพยายามแบ่งอุจาระให้ออกทำให้เกิดภาวะริดสีดวงทวารได้ การเบ่งในระห่างถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน เป็นการเพิ่มความดัน และทำให้เกิดการบาดเจ็บที่เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารได้
  • การใช้ยาสวนทวารและการกินยาระบายเป็นประจำ
  • การตั้งครรภ์ เนื่องจากคนตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวมากขึ้น เกิดการกดทับ ทำให้เลือดไหลกลับหัวใจได้ลดลง เกิดการคั่งของหลอดเลือด ส่งผลต่อการบวมและพองของหลอดเลือดตามมา
  • โรคอ้วน เนื่องจากน้ำหนักตัวมากมีผล ต่อแรงดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานสูง เลือดสามารถคั่งได้
  • อายุมาก การเสื่อมสภาพของเนื้อเยื้อของร่างกาย สามารถส่งผลให้เกิดหลอดเลือดโปร่งพ่องง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
  • การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การกดทับ การถูกกระแทกที่ทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อหลอดเลือดบริเวณทวารหนักเกิดการโป่งพองได้ง่าย
  • การไอเรื้อรัง หรือการไออย่างแรง เนื่องจากการไอส่งผลต่อแรงดันในช่องท้อง
  • โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในหลอดเลือดดำในเนื้อเยื่อหลอดเลือดซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือด มีผลทำให้เกิดภาวะเลือดคั่งอยู่ภายในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองได้ง่าย
  • โรคแทรกซ้อน จากโรคอื่นๆ เช่น ก้อนเนื้องอกในท้อง เนื้องอกมดลูก เนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่ มะเร็งลำไส้ใหญ่  ต่อมลูกหมากโต ตับแข็ง เป็นต้น

อาการของริดสีดวงทวาร

สำหรับการของโรคริดสีดวงทวาร เราจะแบ่งอาการของโรคออกเป็น 2 ส่วนตามชนิดของโรค คือ อาการของริดสีดวงภายใน และอาการของริดสีดวงภายนอก รายละเอียดดัง ต่อไปนี้

  • โรคริดสีดวงภายนอก อาการของโรค คือ จะมีติ่งเนื้อออกมาจากปากทวารหนัก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด เจ็บ และระคายเคือง โดยปกติแล้วอาการนี้จะหายเจ็บได้ภายใน 2-3 วัน แต่อาการปวดอาจต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 สัปดาห์แต่หากหัวริดสีดวงใหญ่ อาจทำให้ระคายเคือง และคันบริเวณปากทวารหนักได้
  • โรคริดสีดวงภายใน อาการของโรค คือ มีเลือดออกจากทวารหนัก แต่ไม่รู้สึกเจ็บปวด โดยมากจะเกิดตอนถ่ายอุจจาระหรือหลังถ่ายอุจจาระเสร็จ ลักษณะเลือดมีสีแดงสด ปนกับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลหยดลงจากทวารหนัก อาการเหล่านี้จะเป็น ๆ หาย ๆ แต่หากมีอาการเรื้อรัง ทำให้เสียเลือดตัวซีดลงได้ สำหรับผู้ที่เป็นหนัก หลอดเลือดจะบวม จะเห็นหัวริดสีดวงโผล่ออกมาจากทวารหนัก เป็นก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ซึ่งก้อนนี้จะทำให้เกิดอาการปวด และเจ็บ อาจจะทำให้เกิดอาการคัน และกลั้นอุจจาระไม่อยู่ด้วย

ผลข้างเคียงของโรคริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวารนั้นไม่ใช้โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่างๆมากมาย เราได้แยกผลกระทบของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร มีดัง ต่อไปนี้

  • การเสียเลือดมาก ทำให้เกิด ภาวะตัวซีด ภาวะโลหิตจาง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจากอยู่แล้วให้พบแพทย์ด่วนมื่อพบว่าตัวเองเป็นโรคริดสีดวงทวาร
  • อาการหูรูดทวารปิดไม่สนิท เกิดอาการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ เนื่องจากเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่ทำหน้าที่ ช่วยการปิดหูรูดของทวารหนัก เกิดการหลอดเลือดโป่งพองมาขัด
  • การติดเชื้อ เช่น ฝี หนอง บริเวณก้นและทวารหนัก หากหลอดเลือดเกิดการขาดเลือด จะเกิดการเน่าเสียของเนื้อเยื่อหลอดเลือดจามมา ซึ่งส่งผลให้เจ็บและปวดอย่างหนัก ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉิน ให้รีบไปพบแพทย์ด่วน

วิธีรักษาริดสีดวงทวาร

สำหรักการรักษาโรคริดสีดวงทวาร นั้น เราสามารถรักษาได้ด้วยการประคับประครองอาการของโรค และรักษาอาการของโรคดดยวิธีทางการศัลย์แพทย์ รายละเอียด ดังนี้

  • การรักษาโดยการประคับประคองอาการของโรค เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคและการใช้ยาต่าง ๆ เช่น การใส่ยาทาบริเวณหัวริดสีดวง การเหน็บยา หรือการกินยาต่าง ๆ  เป็นต้น ข้อแนะนำในการประคับประครองอาการของโรค มีดังนี้
    • ระวังอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเดิน ด้ายการกินอาหารที่มีกากใยอาหาร สูง เช่น ผักและผลไม้
    • ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา โดยไม่กลั้นและไม่เบ่งอุจจาระ
    • หลีกเลี่ยงการนั่งเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
    • ควบคุมน้ำหนังตัวให้อยู่ในอัตราปรกติ
    • เมื่ออุจจาระเสร้จ ให้ทำความสะอาด
  • การรักษาด้วยวิธีทางศัลยกรรม ซึ่งการรักษาแบบนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ซึ่ง มี 4 วิธี คือ การฉีดยาที่หัวริดสีดวง การใช้ยางรัด การเผาหัวริดสีดวง และการผ่าตัดริดสีดวง วิธีการต่างๆในการรักษานั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ โดยรายละเอียดการรักษาริดสีดวงทวาร มีดังนี้
    • การรักษาด้วยการฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงทวาร ซึ่งยาจะทำให้หลอดเลือดดำยุบตับ เป็นวิธีที่นิยมใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งจะรักษาในริดสีดวงระยะที่ 2  เป็นวิธีที่สามารถหายขาดได้ถึงร้อยละ 70 ของการรักษา สำหรับการฉีดยานั้น แพทย์จะนัดทุกสัปดาห์ ประมาณไม่เกิน 5 ครั้ง
    • การรักษาโดยการใช้ยางรัดหัวริดสีดวง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้หัวของริดสีดวง หลุดออกหรือฝ่อไปเอง ภายใน 5 ถึง 7 วัน วิธีนี้เหมาะกับการรักษาริดสีดวงระยะที่ 2 ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเจ็บปวด แต่หากริดสีดวงอยู่ในแนวเส้นประสาทจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง การรัดหัวริสสีดวงจึงไม่เหมาะกับริดสีดวงที่อยู่ในเส้นประสาท
    • การเผาเพื่อทำลายเนื้อเยื่อ วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมนัก ซึ่งส่วมมากแพทย์จะวิธีนี้ เมื่อการรักษาด้วยวิธีก่อนหน้านี้ไม่ได้ผล การเผาเนื้อเยื่อ จะใช้การจี้ด้วยไฟฟ้า การฉายรังสีอินฟราเรด การใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัด การผ่าตัดด้วยการใช้ความเย็น เป็นต้น
    • การผ่าตัดริดสีดวงทวาร วิธีนี้จะใช้รักษาริดสีดวงในระยะ 3 และ ระยะ4  การผ่าตัดริดสีดวง แพทย์จะใช้ยาชา หรือยาสลบ หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจเจ็บปวดบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก สามารถใช้ยาแก้ปวดช่วยได้ ระยะพักฟื้นประมาณ 3-4 วัน เป็นวิธีการรักษาแบบเดิม ๆ

การป้องกันโรคริดสีดวงทวาร

การเกิดริดสีดวงเป็นความผิดปรกติของเส้นเลือดดำที่บริเวณทวารหนัก การป้องกันปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเป็นสิ่งที่ช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้ โรคนี้ถึงจะไม่รุนแรง แต่เจ็บปวด ทรมาณกายพอสมควร วิธีการป้องกันการเกิดริดสีดวงเป็นการปรับพฤติกรรมการใช้ชิวิตที่มีผลต่อการเกิดโรค มีรายละเอียด ดังนี้

  • การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องการน้ำน้อยวันละ 8-10 แก้ว
  • อย่ากลั้นอุจจาระ และฝึกร่างกายให้ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา
  • อย่าเบ่งอุจจาระแรง และอย่าอุจจาระนาน
  • หลีกเลี่ยงการเกิดโรคท้องร่วง โรคท้องผูก
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปรกติ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำำเสมอ และพยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ

โรคริดสีดวงทวาร ( hemorrhoids ) ภาวะความผิดปรกติของหลอดเลือดดำที่ทวาร เกิดการขอด หรือ โปร่งพอง เป็นหัว เราเรียกว่า หัวริดสีดวง เมื่อเกิดการแตกของหัวริดสีดวง เลือดจะไหลออกมาจำนวนมาก อาการของโรคริดสีดวงทวาร ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปวด เจ็บ และ ระคายเคือง ที่ทวาร จัดเป็นโรคทั่วไปไม่ร้ายแรง การรักษาโรคริดสีดวงทวาร


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove