โลน เหาที่อวัยวะเพศ ภาวะการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง อาการคันในที่ลับ มีไข้ ไม่มีแรง มีรอยจ้ำเล็กๆที่อวัยวะเพศ ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ เหมือนเป็นเหาธรรมดาโลน มีเหาที่หี มีเหาที่หำ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โลน ภาษาอังกฤษ เรียก Pediculosis Pubis หรือเรียกสั้นๆว่า Pubic Lice จัดว่าเป็นแมลงชนิดหนึ่งในกลุ่มปรสิต ที่มีขนาดเล็กนิยมเกาะกลุ่มอาศัยอยู่กับร่างกายของมนุษย์ โดยพบได้มากที่สุด คือ บริเวณอวัยวะเพศ ตัวโลน สามารถติดต่อกันได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์

ระยะการเจริญเติบโตของตัวโลน นั้นมีทั้งหมด 3 ระยะ คือ ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน และ ระยะตัวเต็มวัย โดยรายละเอียด ดังนี้

  • โลนระยะเป็นไข่ เรียกว่า Nit ไข่ของโลนมีระยะในการฟักตัว ประมาณ 6 ถึง 10 วัน โดยไข่โลนจะเกาะตามเส้นขน มีลักษณ์ขนาดเล็กมาก แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเลย ไข่ของโลนจะมีสีขาว หรือ สีเหลือง
  • โลนระยะตัวอ่อน เรียกว่า Nymph ในระยะตัวอ่อนใช้เวลาประมาณ 14 ถึง 21 วัน เมื่อตัวอ่อนฟักตัว ก็จะอาศัยอยู่ที่บริเวณอวัยวะเพศ โดยดูดเลือดของมนุษย์เป็นอาหาร
  • โลนระยะตัวเต็มวัย เรียกว่า Adult หลังจากโลนโตเต็มวัยแล้ว จะตายภายใน 2 วัน ซึ่งลักษณะของโลนเต็มวัย นั้นจะมีสีน้ำตาลอ่อน หรือสีเทาอ่อน ๆ มี 6 ขา ขาหน้า 2 ขา จะมีลักษณะคล้ายก้ามปู และตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้

สาเหตุของการเกิดโลน

การติดต่อโลน นั้นเกิดจากการสัมผัสกับคนที่มีโลนเกาะที่ร่างกาย ส่วนมากแล้วจะเกิดการสัมผัสจากการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งการกอด จูบ ถูไถ ซึ่งเมื่อโลนเข้ามาเกาะอยู่ที่ร่างกายของมนุษย์ จะเกิดการขยายพันธ์ และดำรงชีวิตด้วยการกินเลือดของมนุษย์ สำหรับการติดโลนนั้น ไม่สามารถป้องกันการติดโลนได้ด้วยการสวมถุงยาง หรือ กินยาคุมกำเนิด

โลนนั้นพบมากในผู้ใหญ่ หลายคนมีความเข้าใจที่ผิดว่า การติดโลนเกิดจากการไม่ดูแลบริเวณอวัยวะเพศ ให้สะอาด แต่จริงๆแล้ว การรักษาความสะอาดก็สามารถติดโลนได้ แต่เนื่องจากโลนจะดูดเลือดมนุษย์เป็นอาหาร ทำให้ร่างกายถูกดูดเลือด และ มีโอกาสการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ ซึ่งเป็นอันตรายในชีวิต

อาการของโลน

เมื่อโลนเริ่มติดต่อจากคนสู่คน สิ่งที่อาการจะมองเห็นอย่างชัดเจน คือ อาการคันบริเวณอวัยวะเพศ รวมถึงทวารหนักด้วย รวมไปถึงบริเวณร่างกายของมนุษย์ที่มีขน เช่น ใต้รักแร้ ขนขา ขนหน้าอก ขนท้อง ขนที่หลัง หนวด เครา คิ้ว หรือขนตา นอกจากอาการคันแล้ว อาการความผิดปรกติต่างๆ สามารถสังเกตุได้ ประกอบด้วย

  • มีไข้ต่ำ ๆ
  • รุ้สึกหงุดหงิด มีอารมณ์ฉุนเฉียว
  • อ่อนแรง
  • มีรอยช้ำเล็ก ๆ ตามผิวหนัง
  • มีผงสีดำติดกางเกงใน
  • อาจมีแผล จากการติดเชื้อด้วย

การวินิจฉัยโลน

สำหรัยการวินิจฉัยว่าเราติดโลนหรือไม่นั้น สังเกตุจากบริเวณที่มีขนของร่างกาย ว่ามีไข่โลนหรือตัวโลนหรือไม่ อาจใช้แว่นขยายส่องหาตัวโลน และไข่ของโลน

การรักษาโลน

การรักษาโลน สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ แชมพู โลชั่น หรือ ครีม ที่มีฤทธิ์กำจัดโลนหรือเหา ซึ่งตัวยา ได้แก่ เพอร์เมทริน ( Permethrin ) ซึ่งมีวิธีการใช้ ดังต่อไปนี้

  • ให้ทายาบริเวณที่มีอาการคัน และบริเวณที่มีขน เช่น บริเวณอวัยวะเพศ คิ้ว หนวด เครา
  • ยาบางชนิด ต้องทาทิ้งไว้ และล้างออกหลังจากทาครบกำหนดเวลา แล้วล้างออกให้สะอาด
  • การรักษาด้วยยา ดังนั้น ควรใช้ซ้ำเพื่อกำจัดตัวโลนที่เพิ่งออกมาจากไข่ แต่หากใช้ยาซ้ำเป็นครั้งที่ 2 แล้วอาการยังไม่ทุเลาลง

หากการรักษาไม่ได้ผล ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ และไม่ควรใช้ยาซ้ำเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น ผิวหนังระคายเคือง มีอาการคัน ผิวหนังแดง หรือปวดแสบปวดร้อน เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของโลน

การเกิดภาวะแทรกซ้อนของการติดโลน นั้มมีหลายอาการ ดังต่อไปนี้

  • การติดเชื้อที่ผิวหนัง อาการคันทำให้เกิดการเกา และเกิดแผล ซึ่งเมื่อร่างกายมีแผลสามารถทำให้เชื้อโรคต่างๆเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
  • การติดเชื้อที่ดวงตา หากโลนไปเกาะที่ขนคิ้วหรือขนตา ทำให้เกิดการระคายเคืองทำให้ตาอักเสบได้

การป้องกันโลน

การป้องกันการติดโลนนั้น สามารถป้องกันได้จากการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ีทำให้ติดโลน โดยรายละเอียดดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีโลน หรือ คนที่เราไม่มั่นใจว่าสะอาดเพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับคนที่มีโลน เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว หรือเครื่องนอน เป็นต้น
  • ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดโลน
  • หลีกเลี่ยงการลองชุดในห้างสรรพสินค้า

โลน หรือ เหาที่อวัยวะเพศ ภาวะการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง อาการคันในที่ลับ มีไข้ ไม่มีแรง มีรอยจ้ำเล็กๆที่อวัยวะเพศ อาจติดโลนได้ ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ เหมือนเป็นเหาธรรมดา วิธีกำจัดโลนว่าทำอย่างไร

เริม ( Herpes simplex ) การติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ( Herpes Simplex Virus ) อาการตุ่มใสๆที่ปากและอวัยวะเพศ จากการจูบหรือเลียเชื้อโรค สามารถหายเองได้เริม โรคเริม โรคติดต่อ แผลที่ปาก

โรคเริม เป็นลักษณะของโรคเรื้อรัง สามารถติดต่อกันโดยทางเพศสัมพันธ์ ได้ กลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ จะเป็น กลุ่มเด็กทารกและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องต่างๆ เช่น คนติดเชื้อเอดส์(เอชไอวี) ผู้ป่วยมะเร็ง กลุ่มคนที่มีการปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ ความรุนแรงของโรคนี้อยู่ที่ การติดเชื้อในกระแสเลือดอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น ว่าสาเหตุของการเกิดโรค อาการของโรค การรักษาและการป้องกันทำอย่างไร

โรคเริม นั้นเป็นการติดเชื้อไวรัส ที่เกิดจากการสัมผัสเชื้อโรคจากแผลหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อโรค ไม่ว่าจะจาก น้ำจากตุ่มใส จากน้ำลาย เป็นต้น การมีเพศสัมพันธ์ที่ขาดการป้องกัน เช่น การใช้ของใช้ร่วมกัน การจูบ การเลีย การกินอาหารร่วมกัน การสัมผัสทางตา หากเกิดการติดเชื้อที่อวัยวะเพศก็สามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้

สาเหตุของการเกิดโรคเริม

สาเหตุของการเกิดเริม นั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริม เป็นไวรัสชื่อ เฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ ภาษาอังกฤษ เรียก Herpes simplex virus ตัวย่อคือ HSV ลักษณะของอาการคล้ายกับการเกิดโรคงูสวัดและอีสุกอีใส แต่เกิดจากเชื้อไวรัสคนละตัวกัน โดยเชื้อไวรัสเริม มีอยู่ 2 ชนิด คือ ไวรัสเอชเอสวี-1 ( Herpes simplex virus 1 หรือ HSV-1 ) และ ไวรัสเอชเอสวี-2 ( Herpes simplex virus 1 หรือ HSV-2 ) เชื้อไวรัสเริม ทั้ง 2 ชนิด สามารถติดเชื้อได้จากช่องทางต่างๆ ที่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ เช่น ผิวหนัง ช่องปาก อวัยวะเพศ และเนื้อเยื่อต่างๆ

อาการของโรคเริม

สำหรับ อาการของโรคเริม นั้นจะเกิดตุ่มเล็กๆ ลักษณะพอง มีน้ำใสๆ กดลงไปจะเจ็บ ซึ่งตุ่มน้ำจะเกิดขึ้นภายใน 1 ถึง 2 วัน ในตุ่มมีน้ำใสๆ จะเกิดเป็นกลุ่มๆ ตามจุดที่เกิดการติดเชื้อ อาการนี้จะเกิดภายในระยะเวลา 14 วัน และสามารถหายเองได้ ลักษณะของตุ่มใส จะเกิดที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และ อวัยวะเพศ ก่อนที่จะเกิดแผลตุ่มนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการ อ่อนเพลีย อาการคล้ายป่วนเป็นไข้หวัด มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว กินอาหารได้น้อย ลักษณะของอาการของแผลในอวัยวะต่างๆ มีดังนี้

  • เริมที่ผิวหนัง สำหรับการเกิดเริมที่ผิวหนัง มักจะเกิดจากการติดเชื้อซ้ำ เรียกว่า Reactivation อาการที่พบคือ มีอาการปวดแสบ ปวดร้อน หากเกิดบริเวณขา สะโพก หรือ ก้น อาการปวดนี้จะเกิดขึ่นก่อน ประมาณ 1 ถึง 5 วัน จะมีผื่นแดงๆขึ้นก่อน ขากนั้นจะเกิดตุ่มน้ำใส รอบผื่นแดง จากนั้นน้ำในตุ่มจะเป็นสีเหลืองขุ่น และแตกกลายเป็นสะเก็ด สามารถหายเอง ภายใน 14 วัน ชาวบ้านจะเรียกโรคนี้ว่า “ ขยุ้มตีนหมา ”
  • เริมในช่องปาก เรียกว่า Herpetic gingivostomatitis อาการของเริมที่ปาก นั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ 1 พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ก็สามารถติดเชื้อได้ง่าย มีระยะฟักตัวของโรคใช้เวลาภายใน 20 วัน
  • เริมที่อวัยวะเพศ เรียก Herpes genitalis การเกิดเริมที่อวัยวะเพศนั้น พบเป็นสาเหตุของการเกิดเริม มากที่สุด จักว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโรคเริม และ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันที่ดี

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเริมซ้ำ

โรคเริม นั้นสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ หากผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อโรคเริมไม่ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซ้ำประกอบด้วย

  • การถูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัส การถูไถ การโดนลม โดนแสงแดด ความเย็น เสื้อผ้าไม่สะอาด เหงื่อ เป็นต้น
  • ภาวะความเครียด หากมีภาวะเครียดทำให้ร่างกายผิดปรกติ
  • การกินอาหาร ได้แก่ ถั่ว กาแฟ แอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต เป็นอาหารที่กระตุ้นการติดเชื้อ
  • การดูแลสุขอนามัยของร่างกายขณะที่มีประจำเดือน
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนไม่หลับ สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายแปรปรวน ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง

การรักษาโรคเริม

โรคนี้ไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด เมื่อเริ่มมีการติดเชื้อแล้วเชื้อนี้ก็จะอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต โดยเชื้อไวรัสไปสะสมอยู่ที่ปมประสาท และเมื่อถูกกระตุ้นจากปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ก็จะออกมาแสดงอาการที่ผิวหนัง แต่อาการเริมส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์  โดยอาบน้ำอุ่น พยายามดูแลให้บริเวณอวัยวะเพศแห้ง ไม่อับชื้น เพราะความชื้นจะทำให้แผลหายช้า สวมเสื้อผ้านุ่ม และหลวมๆ ประคบเย็นบริเวณแผล และ รับประทานยาแก้ปวด

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเริม

อาการแทรกซ้อนของโรคเริม นั้นมีหลายอาการจะเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่ โรคเริมจะหายเองภายใน 14 วัน มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น โดยอาหารแทรกซ้อนของโรคเริม ประกอบด้วย

  • การอักเสบของแผล เช่น เกิดหนอง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • เกิดสายตาพิการ เชื้อโรคเริมหากขึ้นจอตา อาจทำให้กระจกตาอักเสบ ทำให้สายตาพิการ
  • การเกิดภาวะขาดน้ำ หากเกิดเชื้อโรคเริมที่ปาก ทำให้การกินอาหารและน้ำทำได้ลำบาก ส่งผลต่อภาวะขาดน้ำได้
  • การเกิดมะเร็งปากมดลูก สำหรับสตรีที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกมากกว่าปรกติ
  • ทำให้เส้นประสาทอักเสบ ทำให้อัมพาตที่ใบหน้าได้ การติดเชื้อที่ผิวหนังทำให้อาจกระทบต่อเส้นประสาทที่ผิวหนังโดยเฉพาะใบบหน้า

การป้องกันการเกิดโรคเริม

สำหรับการติดเชื้อเริม นั้นหากไม่มีการป้องกันที่ถูกต้อง การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง จะทำให้สามารถติดเชื้อซ้ำได้ การป้องกันการติดเชื้อเริมค่อนข้างยาก เพราะผู้ติดเชื้อเริมนั้นไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจนมาก ดังนั้นเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่ครองของตน
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัย สัมผัสแผลที่มีเชื้อโรค
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่มีเชื้อโรค เช่น จานชาม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า มีดโกน เป็นต้น
  • ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน ให้ครบถ้่วน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงภาวะความเครียด
  • การรับประทานยาต้านไวรัส หากต้องใช้ชีวิตที่มีความเสียงในการติดเชื้อ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเริม

โรคเริม ( Herpes simplex ) ติดเชื้อจากเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ( Herpes Simplex Virus ) ทำให้เกิดตุ่มใสๆที่ผิวหนัง ปาก และ อวัยวะเพศ ติตจากการจูบ การเลียเชื้อโรค สามารถหายเองได้ และ มีโอกาสเกิดซ้ำ รักษาอย่างไร


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove