โรคไทฟอยด์ การติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typhi เชื้อโรคจากสิ่งสกปรก ลักษณะอาการมีไข้และปวดท้อง มีวัคซีนป้องกัน หากรักษาไม่ทันมีโอกาสเสียชีวิตได้
ไข้ไทฟอยด์ ( Typhoid fever ) คือ ภาวะติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typhi เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียปนอยู่ และผู้ที่ติดเชื้อจะขับถ่ายเชื้อโรคออกมาทางอุจาระ เชื้อโรคจะเข้ากระแสเลือด โดยเข้ามาทางลำไส้ ต่อมน้ำเหลือง ตับ หรือม้าม
โรคไทฟอยด์พบบ่อยในกลุ่มประเทศที่ดูแลเรื่องสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมไม่ดี ประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาพบมีอัตราป่วยโรคไทฟอยด์สูง ทั่วโลกพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 21 ล้านคนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 200,000 คนต่อปี สำหรับประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคไทฟอยด์ปี 2553 มีผู้ป่วยประมาณ 2,509 คน ไม่พบผู้เสียชีวิต
สาเหตุของการเกิดโรคไทฟอยด์
โรคไทฟอยด์เกิดจากร่างกายรับเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเชื้อโรคชนิดนี้มีความรุนแรงสูง สามารถรับเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการบริโภคอาหารและน้ำ หรือสัมผัสเชื้อโรคตรง
อาการของโรคไทฟอยด์
เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายภายใน 14 วัน ผู้ป่วยจะแสดงอาการ เบื่ออาหาร รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดตามเนื้อตามตัว มีไข้สูง หลังจากนั้นจะเกิดท้องร่วง มีผื่นขึ้นตามตัว หากไม่รักษาให้ทันท่วงที จะเกิดโรคอื่นแทรกซ้อนได้ เช่น มีเลือดออกที่ทางเดินอาหาร เกิดลำไส้ทะลุ ภาวะไตวาย และช่องท้องอักเสบ เสียชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนของการเกิดโรคไทฟอยด์
การติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi นอกจากจะแสดงอาการตามลักษณะอาการของโรคแล้ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลาจะส่งผลระทบต่อระบบต่างๆของร่างกาย เป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีความอันตรายต่อสุขภาพ มีดังนี้
- ระบบประสาท ส่งผลต่อการควบคุมร่างกาย แขนขาอ่อนแรง เส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคพาร์กินสัน หรือ ภาวะอัมพาต ได้
- ระบบการหายใจ อาจทำให้ปอดบวมและมีแผลที่คอหอย
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- ระบบการทำงานของตับ ม้าม และตับอ่อน อาจทำให้เกิดฝีหนองในตับ ฝีหนองในม้าม และตับอ่อนอักเสบ
- ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ ปัสสาวะไม่ออก โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคกรวยไตอักเสบ โรคไตอักเสบ และลูกอัณฑะอักเสบ
- ระบบข้อและกระดูกอาจทำให้ข้ออักเสบ กระดูกอักเสบ
การรักษาไข้ไทฟอยด์
สำหรับแนวทางการรักษาโรคไทฟอยด์ สามารถรักษาโรคด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ยาฆ่าเชื้อ ซึ่งการรักษามีประสิทธิภาพสูง เป็นยาในกลุ่ม fluoroquinolones เช่น ciprofloxacin รวมถึงยาในกลุ่ม cephalosporin รุ่นที่สาม เช่น ceftriaxone
สำหรับการรักษาในผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะลำไส้เล็กทะลุ อาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันการติดเชื้อในช่องท้อง นอกจากการรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะแล้ว ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาแบบประคับประคองควบคู่กันไปด้วย โดยแนวทางการประคับประครองอาการของโรค มีดังนี้
- การให้ยาลดไข้ เพื่อไม่ให้ความร้อนในร่างกายสูงเกินไป
- หมั่นเช็ดตัวผู้ป่วย เพื่อช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย
- ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่ิทดแทนการสูญเสียน้ำในร่างกาย
การป้องกันโรคไทฟอยด์
สำหรับแนวทางการป้องกันโรคไทฟอยด์ ต้องป้องกันจากสาเหตุของโรค คือ ป้องกันการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรคทางปากและการสัมผัสผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงทำให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อจะสามารถรับมือต่อการรักษาตัวเมื่อเกิดโรคได้ แนวทางการป้องกันโรค มีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย และ อาหารที่ปรุงไม่สุด
- น้ำที่ดื่มต้องเป็นน้ำสะอาด ต้มน้ำให้สุกทุกครั้ง
- ผัก หรือ ผลไม้ ที่จะรับประทาน ต้องล้างให้สะอาด
- หมั่นล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ไข้ไทฟอยด์ พบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นการติดเชื้อผ่านทางแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด หรือ อาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค โดยผู้ป่วยจะมีไข้ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้องเสียได้ อีกทั้งผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างรวดเร็ว ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงลดลง การป้องกันการเกิดไข้ไทฟอยด์ที่สิ่งที่ดีที่สุด