อัญชัน นิยมใช้ประโยชน์หลาหลาย สมุนไพร สีผสมอาหาร ต้นอัญชันเป็นอย่างไร สรรพคุณของอัญชัน บำรุงผม บำรุงความงาม บำรุงสายตา ทำให้ผมดกดำ โทษของอัญชันมีอะไรบ้าง
ต้นอัญชัน ภาษาอังกฤษ เรียก Butterfly pea ชื่อวิทยาศาสตร์ของอัญชัน คือ Clitore ternatea Linn สำหรับชื่อเรียกอื่นๆของอัญชัน เช่น แดงชัน ( เชียงใหม่ ) เอื้องชัน ( ภาคเหนือ ) เป็นต้น ต้นอัญชัน สมุนไพรประเภทไม้เลื้อย มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชีย เขตร้อน และมีการแพร่พันธ์ไปในแอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกา จัดเป็นพืชท้องถิ่นที่อยู่คู่กับสังคมไทย มีการนำอัญชันมาใช้ประโยชน์หลากหลาย ทั้งการรักษาโรคและบำรุงร่างกาย รวมถึงนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร
ดอกอัญชันมีสารที่ชื่อว่า แอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรากผม ช่วยทำให้ผมดกดำ เงางาม ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณดวงตา ทำให้บำรุงสายตาไปในตัว ลดอาการเหน็บชา นอกจากนั้น สรรพคุณของอัญชัน เช่น ขับปัสสาวะ บำรุงผม ยาระบาย แก้อาการคลื้นไส้ อาเจียน บำรุงความงาม นำมาทำเครื่องสำอางค์ ทำสีผสมอาหารให้สีม่วง
อัญชันในวรรณคดีสมัยก่อนหญิงสาวมักนำอัญชันมาเขียนคิ้วให้ดำขลับ อันชัญนิยมนำไปทำอาหาร โดยปกติจะใช้สีจากการต้มและคั้นน้ำของดอกเพื่อมาผสมกับแป้งต่าง ๆ ทำเป็น ขนมชั้น ทับทิมกรอบ บัวลอย เป็นต้น นอกจากนั้น ดอกอัญชัน สามารถนำมาชุบแป้งทอด พื่อตกแต่งจาน หรือ ทำไข่เจียวอัญชัน ก็ได้
อัญชันที่พบอยู่ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ อัญชันดอกขาว กับ อัญชันดอกน้ำเงิน และบางครั้งอาจพบอัญชัญชนิดดอกสีม่วง ซึ่งเกิดจากการผสมระหว่างสีขาวกับสีน้ำเงิน ดอกอัญชันนำมาคั้นทำสีผสมอาหาร นิยมนำมาผสมขนมไทย เช่น ขนมช่อม่วง ขนมเรไร ขนมขี้หนู ขนมน้ำดอกไม้ น้ำดอกอัญชัน
ลักษณะของต้นอัญชัน
อัญชัน เป็นพืชไม้เลื้อย ขนาดไม่ใหญ่ สามารถปลูกตามรั้วบ้าน หรือ ปลูกเป็นซุ้มประตูให้ความสวยงาม สามารถขยายพันธ์ุโดยการเพาะเมล็ดพันธ์ สามารถปลูกได้ในทุกสภาพดิน โตง่าย ลักษณะของต้นอัญชัน มีดังนี้
- ลำต้นอัญชัน ลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อน เป็นไม้เลื้อย อายุสั้น ใช้ยอดเลื้อยพันตามหลักหรือเสา ลำต้นมีขนปกคลุม ลำต้นอ่อนสีเขียว หากลำต้นแก่จะเป็นสีน้ำตาล
- ใบอัญชัน ใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้ามยาว 6-12 เซนติเมตร มีใบย่อยรูปไข่ 5-7ใบ กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ผิวใบด้านล่างมีขนหนาปกคลุม
- ดอกอัญชัน ดอกสีขาว ฟ้า และม่วง ดอกออกเดี่ยว ๆ รูปทรงคล้ายฝาหอยเชลล์ออกเป็นคู่ตามซอกใบ กลีบดอก 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่ยาว 2.5-3.5 เซนติเมตรกลีบคลุมรูปกลม ปลายเว้าเป็นแอ่ง ตรงกลางมีสีเหลือง มีทั้งดอกซ้อนและดอกลา ดอกชั้นเดียวกลีบขั้นนอกมีขนาดใหญ่กลางกลีบสีเหลือง ส่วนกลีบชั้นในขนาดเล็กแต่ดอกซ้อนกลีบดอกมีขนาดเท่ากัน ซ้อนเวียนเป็นเกลียว ออกดอกเกือบตลอดปี
- ผลอัญชัน ผลแห้งแตก เป็นฝักแบน กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร เมล็ดรูปไต สีดำ มี 5-10 เมล็ด
สารสำคัญในอัญชัน
สารเคมีจากต้นอัญชัน พบว่ามีสารเคมีสำคัญต่างๆ ประกอบด้วย ดังนี้
- สารอดีโนซีน ( adenosine ) ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ
- สารแอสตรากาลิน ( astragalin ) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง
- สารเคอร์เซติน (quercetin) ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
- สารแอฟเซลิน ( afzelin )
- สารอปาราจิติน ( aparajitin )
- กรดอราไชดิก ( arachidic acid )
- กรดชินนามิกไฮดรอกซี ( cinnamic acid )
- สารซิโตสเตอรอล
สรรพคุณของอัญชัน
สำหรับการใช้ประโยชน์จากอัญชัญ ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สามารถให้ประโยชน์จาก ใบ ราก เมล็ด และ ดอก ซึ่งสรรพคุณของอัญชัญ มีดังนี้
- ดอกอัญชัน สรรพคุณช่วยให้ผมดกดำ ผมนุ่มสวย บำรุงเลือด บำรุงสมอง มีสารตานอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสายตา ขับสารพิษในร่างกาย ลดน้ำตาลในเลือด
- เมล็ดของอัญชัญ มีสรรพคุณเป็นยาระบาย แก้อาการคลื้นไส้ อาเจียน
- รากของอัญชัญ มีรสขม นำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และทำยาระบาย แก้อาการปวดฟัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น
- ใบของอัญชัน ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงสายตา ขับของเสียออกจากร่างกาย
โทษของอัญชัน
สำหรับการใช้ประโยชน์จากอัญชันในการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค มีข้อควรระวังต่างๆ ดังนี้
- ดอกอัญชัน หากบริโภคมากเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เนื่องจากไตต้องทำการขับสารสีของอัญชันออก
- ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง ไม่ควรจะรับประทานอัญชัน เพราะ ดอกอัญชันมีฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด จะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโลหิตจาง
- ไม่ควรดื่มน้ำอัญชันในขณะอุณหภูมิร้อนจัด เพราะ อาจจะทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันได้ ทำให้ดูดซับสารก่อมะเร็งได้ง่าย
- ดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด สำหรับผู้มีเลือดจางห้ามรับประทานดอกอัญชันเด็ดขาด หรืออาหารเครื่องดื่มที่ย้อมสีด้วยอัญชันก็ไม่ควรรับประทานบ่อย ๆ
- ไม่ควรดื่มน้ำสมุนไพรใด ๆ ชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาจจะเป็นผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี