โรคไวรัสอีโบลา ไข้เลือดออกอีโบลา เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร

โรคไวรัสอีโบลา ไข้เลือดออกอีโบลา อาการผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บคอ ปวดหัวและปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ส่งผลใด้การทำงานของตับและไต รักษาและ ป้องกันอย่างไร

โรคอีโบล่า โรคติดต่อ โรคติดเชื้อ ติดเชื้อไวรัสอีโบล่า

เชื้อไวรัสอีโบลา ( Ebola ) คือ เชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นในสัตว์ป่า สามารถติดต่อสู่คนได้ เป็นโรคที่เกี่ยวกับโรคติดเชื้อ โรคติดต่อชนิดหนึ่ง ยังไม่มียารักษาโรค และ อัตราการเสียชีวิตสูง ดังนั้น การป้องกันจึงดีที่สุด โรคไวรัสอีโบลา หรือ ไข้เลือดออกอีโบลา อาการของป่วยจะแสดงอาการภายในสามสัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อโรค โดยจะมีไข้สูง เจ็บคอ ปวดหัวและปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียนและท้องร่วง ส่งผลใด้การทำงานของตับและไตลดลง

สาเหตุของการติดเชื้ออีโบล่า

การติดเชื้อไวรัสอีโบลา มาจากไหน  อีโบล่าเกิดจาก เชื้อไวรัสอีโบล่า ที่พบได้ในลิงซิมแปนซี สามารถติดสู่คนได้ จากการสัมผัส สารคัดหลั่งจากสัตว์ชนิดนี้ การรับประทานสัตว์ป่า ที่ไม่ถูกสุขอนามัย โดยลักษณะของการติดเชื้อมี 3 ลักษณะดังนี้

  1. การสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อ
  2. การสัมผัสเลือด ของเหลว หรือ สารคัดหลั่ง ของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา
  3. การสัมผัสผุ้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลา

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการการติดเชื้อ Ebola

โดยการติดเชื้ออีโบล่านั้น มาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • การเดินทางไปใกล้แหล่งที่มีเชื้อโรคอีโบล่าระบาดอยู่แล้ว
  • กลุ่มคนที่การสำรวจและวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้
  • การสัมผัสศพ หรือ ผู้มีเชื้อโรค
  • การรับประทานอาหารที่ไม่สุก

อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอีโบล่า

สำหรับจะมีอาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้ออีโบล่านั้น จะมีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ  ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ถ่ายเป็นเลือด ตาแดง มีผื่นนูน ไอ เจ็บหน้าอก จุกแน่นบริเวณกระเพาะอาหาร เลือดออกทางจมูก ปาก หู ตา อาการของโรคไวรัสอีโบลา จะเริ่มแสดงอาการภายใน 2 ถึง 21 วัน หลังจากการรับเชื้อไวรัสอีโบลา เข้าสู่ร่างกาย โดยสามารถสรุปอาการได้ดังนี้

  • มีไข้สูง
  • ปวดหัวอย่างรุนแรง
  • มีอาการเหนื่อยล้า
  • ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ
  • มีอาการเจ็บคอ
  • ท้องเสีย
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • เบื่ออาหาร
  • มีรอยช้ำ และเหมือนมีเลือดออกโดยไม่ทราบสาเหตุ

อาการของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา นั้นเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดตามกล้ามเนื้อ เจ็บคอ แต่แต่อาการของโรคอีโบลาจะปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย และอาการเลือดไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ รวมอยูด้วย

การรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสอีโบล่า

สำหรับการรักษาผู้ป่วยที่ติดไวรัสอีโบล่า ในปัจจุบันยังไม่ยาที่สามารถรักษา หรือฆ่าเชื้อไวรัสอีโบล่าในร่างกายมนุษย์ได้ สิ่งที่สามารถทำได้โดย ให้น้ำเกลือ เพื่อให้ผู้ป่วยมีแรง รักษาระดับความดันเลือดและอ๊อกซิเจนในร่างกาย และป้องกันอาการแทรกซ้อนจากการติดโรคอื่น ตัวอย่างอาการแทรกซ้อนที่พบ คือ หลายอวัยวะล้มเหลว เลือดออกรุนแรง ดีซ่าน ชัก หมดสติ ช็อค ตับอักเสบ อ่อนแรง ปวดศีรษะ ตาอักเสบ อัณฑะอักเสบ

การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อไวรัสอีโบลา ( Ebola )

การป้องกันโรคระบาด จากการติดเชื้อไวรัส ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื่้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาล หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนตัวผู้ป่วย รักษาสุขอนามัยให้สะอาด โดยการป้องกันการติดเชื้อไวรัสอีโบลา มีรายละเอียดดังนี้

  • หลีกเลี่ยงเดินทางหรือไปท่องเที่ยวในพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อโรค
  • ลล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีความเสี่ยงการติเชื้อโรค
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
  • ล้างอาหารให้สะอาด และ ปรุงอาหารที่สุก รวมถึงหลีกเลี่ยงการกินอาหารป่า
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโรค เช่น น้ำเหลือง เลือด น้ำลาย น้ำจากช่องคลอด เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น เสื้อผ้า ผ้าคลุมเตียง เข็ม อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
  • สำหรับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ต้องสวมถุงมือ หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

โรคไวรัสอีโบลา ไข้เลือดออกอีโบลา ( Ebola ) เกิดจากติดเชื้อไวรัสอีโบลา อาการผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บคอ ปวดหัวและปวดกล้ามเนื้อ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและท้องร่วง ส่งผลใด้การทำงานของตับและไตลดลง รักษาอย่างไร ป้องกันอย่างไร

Last Updated on March 17, 2021