ตาเหล่ Strabismus อาการดวงตาข้างใดข้างหนึ่งผิดปกติ หรือ ลูกตาทั้ง 2 ข้างไม่ขนานกัน เกิดจากหลายปัจจัย รักษาได้ด้วยการผ่าตัด หรือ ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ช่วยโรคตาเหล่ โรคตา โรคไม่ติดต่อ

ตาเหล่ หรือ ตาเข ทางการแพทย์เรียก Strabismus คือ เป็นโรคตา โรคทางตา ซึ่งตาเหล่เป็นอาการที่ตาข้างใดข้างหนึ่งมีอาการผิดปกติ โดยไม่ได้มีจุดโฟกัสในการมองเห็นเป็นจุดเดียว ตาเหล่ คือ ภาวะลูกตาทั้ง 2 ข้างไม่ขนานกัน และการทำงานของดวงตาเมื่อมองวัตถุไม่ประสานกัน โดยผู้ป่วยจะใช้เพียงตาข้างที่ปกติในการมองวัตถุ และในส่วนของดวงตาข้างที่เหล่ อาจเบนเข้าด้านในห ด้านนอก ขึ้นบน หรือ ลงล่าง ก็ได้

ตาเหล่เทียม เรียก Pseudostrabismus สำหรับตาเหล่เทียม นี้จะพบในเด็กเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งบริเวณสันจมูกยังโตไม่เต็มที่ และบริเวณหัวตากว้าง (Epicanthus) จึงทำให้ลักษณะเหมือนกับตาเหล่ แต่เมื่อโตขึ้นมาและร่างกายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ดั้งจมูกสูงขึ้น ภาวะตาเหล่ก็จะหายไปเอง ลักษณะนี้ เรียกว่า ตาเหล่เทียม

ซึ่งผลเสียของอาการตาเหล่ นั้นประกอบด้วย

  1. เสียบุคลิกภาพ สิ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดของการตาเหล่ คือ ภาพดวงตาดำที่ผิดปรกติ ดูไม่สวยงาม ส่วนมากคนตาเหล่จะรู้สึกเหมือนเป็นปมด้อย มักไม่ค่อยสู้หน้าคน สิ่งนี้จะเปิดการปั่นทอนจิตใจอย่างช้าๆโดยไม่รู้ตัว
  2. การเกิดบุคลิกภาพที่ผิดจากบุคคลทั่วไป โดยคนตาเหล่จะมีโฟกัสภาพที่ไม่ปรกติก ในคนตาเหล่จะใช้การหันหน้าเอียงคอ เพื่อชดเชยความผิดปกติ ซึ่งสิ่งนี้จะยิ่งทำให้บุคลิกผิดไปจากคนทั่วไป
  3. ความสามารในการมองเห็นน้อยกว่าคนตาปกติ เนื่องจากตาทั้ง 2 ข้างไม่ทำงานร่วมกันหรือเรียกว่าต่างคนต่างทำ ต้องใช้ตาข้างเดียวเป็นหลัก จึงมองวัตถุเล็ก ๆ ไม่เป็นภาพ 3 มิติ ทำให้ทำงานที่ละเอียดได้ไม่ดีนัก เช่น งานเย็บปักถักร้อยหรืองานฝีมือต่าง ๆ เพราะอย่าลืมว่าการมองเห็นที่ดีที่สุดคือต้องมองเห็นภาพเป็น 3 มิติในวัตถุขนาดเล็ก ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยตาที่เห็นชัดทั้ง 2 ข้าง และทำงานประสานสอดคล้องกันเสมอ
  4. เกิดภาวะตาขี้เกียจ เรียก Amblyopia ถากปล่อยทิ้งไว้ดดยไม่แก้ไข อาจถึงขั้นตาบอดได้

เราสามารถแบ่งชนิดของการการตาเหล่ ได้ดังนี้

  1. ตาหนึ่งอยู่ตรงกลาง แต่อีกตาเฉออก
  2. ตาข้างหนึ่งอยู่ตรงกลาง แต่ตาอีกข้างกลับหมุนเข้าใน
  3. ตาหนึ่งอยู่ตรงกลาง อีกข้างหนึ่งกลอกออกมาทางหางตาหรือออกนอก
  4. ตาเหล่ขึ้นบน
  5. ตาเหล่ลงล่าง

สาเหตุของการเกิดโรคตาเหล่ มีดังนี้

  1. กรรมพันธุ์ โรคตาเหล่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมมได้
  2. เกิดจากสายตาที่ผิดปกติของผู้ป่วย  การใช้สายตาเพ่งบ่อยๆหรือกล้ามเนื้อตาขาดสมดุล สามารถทำให้เกิดตาเหล่ได้
  3. เกิดโรคที่ตาข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้กล้ามเนื้อตาไม่สมดุล
  4. การผิดปรติของระบบประสาทส่วนกลาง
  5. ตาเขเกิดจากโรคที่ส่งผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อตา เช่น  เนื้องอกในสมอง มะเร็งในส่วนศีรษะ มะเร็งส่วนลำคอ โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์อักเสบ

การรักษาโรคตาเหล่

สำหรับ การรักษาโรคตาเหล่ นั้น สามารถทำได้ 2 วิธี โดยแบ่งได้ คือ การรักษาโดยการไม่ใช้วิธีผ่าตัด และ การรักษาโดยการผ่าตัด  ซึ่งรายละเอียดของการรักษาทั้ง 2 วิธีนี้ มีดังนี้

  •  การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แพทย์จะให้ใช้เครื่องมือ และ การฝกกายภาพบำบัด เพื่อเป็นการปรับบุคลิกภาพและความสามารการมองเห็นให้เป็นปรกติให้ได้มากที่สุด ซึ่งใช้วิธีดังนี้
    • การให้แว่นสายตา ใช้รักษาในผู้ป่วยตาเหล่ที่มีสาเหตุมาจากสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดตาเหล่เข้า หรือ สายตาสั้นที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดตาเหล่ออก
    • ให้แว่น prism ซึ่งช่วยหักเหแสงให้ตกลงพอดีที่จุดรับภาพที่จอตา
    • การฝึกกล้ามเนื้อตา
    • การรักษาด้วยยา เช่น การฉีดโบท็อกช์ (Botulinum Toxin) โดยฉีดที่กล้ามเนื้อตา ทำให้กล้ามเนื้อมัดนั้นอ่อนแรง มีฤทธิ์อยู่นานประมาณ 2-3 เดือน
    • การรักษาตาขี้เกียจ (Amblyopia) ในเด็กตาเหล่ที่มีภาวะตาขี้เกียจ จำเป็นต้องรีบให้การรักษาทันที และต้องรักษาก่อนที่จะผ่าตัดแก้ไขตาเหล่ และควรรักษาช่วงก่อนที่เด็กจะอายุมากกว่า 7 ปี ซึ่งเมื่อเด็กอายุมากกว่า 8-9 ปีขึ้นไปมักรักษาไม่ได้ผลแล้ว ตาข้างนั้นก็จะมัวอย่างถาวร การรักษาตาขี้เกียจทำโดยการปิดตาข้างที่ดี เพื่อกระตุ้นให้ตาข้างที่เป็นตาขี้เกียจได้ใช้งาน ควรปิดตาอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง จนกว่าสายตาทั้งสองข้างจะมองเห็นปกติแต่ละรายอาจใช้เวลาไม่เท่ากัน
  • การรักษาโดยการผ่าตัด สำหรับการผ่าตัดนี้ แพทย์จะผ่าตัดกล้ามเนื้อตา ทำให้ตาตรง แต่สำหรับการผ่าตัดโรคตาเหล่ในเด็กนั้น หากตรวจและพบว่ามีภาวะตาเหล่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความผิดปกติในส่วนอื่น เช่น ประสาทตา ภาวะตาขี้เกียจ การผ่าตัดรักษาตาเหล่จะช่วยให้ตาตรง กลับมาสวยงาม และช่วยทำให้การมองเห็นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และหากไม่ยอมรักษาตั้งแต่เด็ก ก็สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่ประสิทธิภาพการมองเห็นจะไม่สามารถกลับมาปรกติ เหมือนการรักษาตั้งแต่เด็กได้

การดูแลผู้ป่วยตาเหล่หลังการผ่าตัด

หลังจากการผ่าตัดแพทย์จะปิดตาข้างที่ผ่าตัดไว้ 1 วัน จากนั้นก็สามารถเปิดใช้สายตาได้ตามปกติ แต่ในการนอนนั้นให้ใส่ที่ครอบตาเพื่อป้องกันการถูกกระทบกระเทือนในช่วงสัปดาห์แรก และไม่ควรให้น้ำเข้าตาเพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้

หลังจากการผ่าตักรักษาตาเหล่และผ่าช่วงของการดูแลในสัปดาห์แรก จะทำให้ตาดูตรงเป็นปกติ สวยงาม มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น
ประสิทธิภาพการมองเห็นของตาทั้ง 2 ข้างก็จะดีขึ้น

ตาเหล่! ใครว่ารักษาไม่ได้ ตาเหล่ (ตาเขหรือตาส่อน) คือสภาวะที่ลูกตาทั้งสองข้างไม่ขนานกัน โดยที่ตาข้างหนึ่งอาจเหล่ออก. เหล่เข้า เหล่ขึ้นบนหรือลงล่างก็ได้ ตาเหล่นั้นอาจเหล่ตลอดเวลา สาเหตุของโรคตาเหล่เกิดจากการที่กล้ามเนื้อตาทำงานไม่สมดุลกัน หรืออาจเกิดจากกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ในเด็กบางคนอาจเกิดเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนในเด็กที่มีสายตาสั้นมากๆ คนที่เกิดมาตาเหล่น้อยๆ หรือที่เรียกว่า “ตาส่อน” นั้นก็ดูหวานดี ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงยิ่งดูน่ารักใหญ่แต่ถ้าส่อนมากๆ จนถึงขั้นเหล่ก็จะ กลายเป็นปมด้อยของเจ้าตัวไป

ตาเหล่ ( Strabismus ) อาการดวงตาข้างใดข้างหนึ่งผิดปกติ หรือ ลูกตาทั้ง 2 ข้างไม่ขนานกัน สาเหตุของอาการตาเหล่เกิดจากหลายปัจจัย สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด หรือ ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ร่วมกับการกายภาพบำบัด

ริดสีดวงตา ภาวะติดเชื้อที่หนังตา จากฝุ่นเข้าตา แมลงวันตอมตา ทำให้เกิดตุ่มเล็กๆใต้หนังตา อาการเจ็บตา ตาแดง น้ำตาไหล และขี้ตามาก หากไม่รักษาอาจทำให้ตาบอดได้ริดสีดวงตา โรคตา หนังตาติดเชื้อ โรคติดเชื้อ
ริดสีดวงตา เป็น โรคเกี่ยวกับตา ที่ส่งผลต่อ เปลือกตา ขนตา เยื่อบุตา กระจกตา รวมถึงทางเดินของน้ำตา สามารถเกิดขึ้นได้กับตาทั้งสองข้าง สำหรับโรคริดสีดวงตา เคยเป็นสาเหตุ ที่ทำให้คนตาบอดมากที่สุดในโลก แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้า โรคริดสีดวงตา สามารถติดต่อได้จากการสัมผัส การสัมผัสขี้ตา หรือ สารคัดหลั่งจากตา ลำคอ และ จมูก ได้

การเกิดริดสีดวงตา เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Chlamydia trachomatis ซึ่งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค มี 3 กลุ่ม ดังนี้

  1. กลุ่ม Trachomatis เป็นแบคทีเรียที่ทำให้ อวัยวะภายในและปากมดลูกอักเสบ รวมถึง ท่อปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบ ได้ และเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  2. กลุ่ม Chlamydia pneumoniae เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ
  3. กลุ่ม Chlamydia psittaci เป็นเชื้อโรคที่ทำให้สัตว์ป่วย เช่น นกแก้ว แมว อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะ Cross immunity

สาเหตุของโรคริดสีดวงตา

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซึ่งการติดต่อเกิดจากการสัมผัส เช่น การสัมผัสขี้ตา สารคัดหลั่งต่างๆ อาทิ น้ำมูก เสมหะ หนองจากตา ลำคอ หรือจมูก ของผู้ที่มีเชื้อโรค รวมถึงการโดนแมลงวันตอมตา มักพบในพื้นที่แห้งแล้ง กันดาร มีฝุ่นมาก มีแมลงหวี่ แมลงวันชุกชุม อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคริดสีดวงตา คือ สภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขอนามัย สภาพแวดล้อมแออัด ใช้น้ำสะอาด การใช้อุปกรณ์อุปโภคบริโภคที่ไม่สะอาด แมลงวัน

อาการของผู้ป่วยเป็นริดสีดวงที่ตา

โดยเริ่มต้นจะมีอาการติดเชื้อที่เปลือกตา จะมีตาแดง น้ำตาไหล และมีขี้ตามาก เมื่อเปิดดูที่หนังตาด้านในจะพบตุ่มเล็กๆ เราเรียกตุ่มเล็กๆใต้หนังตาว่า Follicle การติดเชื้อซ้ำบ่อยๆจะมีผลทำให้เกิดอาการอักเสบของเปลือกตา เกิดพังผืดดึงรั้งจนเกิดแผลที่บริเวณเปลือกตา และสาเหตุนี้เป็นต้นเหตุขนตาชี้ลงจนบาดกระจกตา ผู้ป่วยที่เป็นริดสีดวงที่ตาจึงพบอาการเจ็บตาและเคืองดวงตามากขึ้น และจะมีขี้ตามาก และจะลามไปถึงดวงตาทำให้เกิดฝ้าขาวที่กระจกตาได้

ระยะของอาการโรคริดสีดวงตา สามารถแบ่งได้ 3 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่เป็นริดสีดวงแน่นอนแล้ว อาการอักเสบจะน้อยลง ถ้าพลิกเปลือกตาดู จะเห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีเหลือง นอกจากนี้ ส่วนบนสุดของตาดำ จะมีหลอดเลือดฝอยวิ่งเข้าไปในตาดำ เป็นลักษณะเฉพาะของโรคริดสีดวงตา เพราะ ปกติคนเราจะไม่มีหลอดเลือดฝอยจากเยื่อบุตาเข้าสู่ตาดำเลย ในระยะนี้ และหากไม่รับการรักษา ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
  • ระยะเริ่มเป็นแผลเป็น ระยะนี้จะมีอาการเคืองตา แต่แทบจะไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนตุ่มเล็ก ๆ ที่เยื่อบุเปลือกตา ก็ค่อย ๆ ยุบและหายไป แต่จะเกิดพังผืดจนกลายเป็นแผลเป็น ส่วน แพนนัส ที่ตาดำ ก็ยังเห็นอยู่เช่นเดิม ในระยะนี้การใช้ยารักษาจะไม่ค่อยได้ผล
  • ระยะหายและเป็นแผลเป็น ระยะนี้เชื้อจะหายไปหมด ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะไม่รักษาก็ตาม และ แพนนัส ก็ค่อย ๆ หายไป แต่จะเกอดภาวะแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อและอักเสบบ่อย

การรักษาริดสีดวงตา

สามารถทำได้โดยการผ่าตัดไม่ให้ขนตาทิ่มแทงดวงตา และใช้ยาปฏิชีวนะทั้งชนิดยาหยอดตาและยารับประทาน โรคนี้เป็นโรคประจำท้องถิ่น ควรรีบไปพบแพทย์ ไม่ควรรักษาเอง แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ ในปัจจุบันแพทย์แนะนำให้ใช้ ยาอะซิโทรมัยซิน ( Azithromycin ) เพียงครั้งเดียวแทนก็ได้ หรือบางครั้งแม้แต่ ยาซัลฟา ( Sulfa drugs ) ก็ใช้ได้เหมือนกัน ที่สำคัญ ควรให้การรักษาผู้ป่วยที่อยู่ในบ้านไปด้วยพร้อมกันทุกคน

ถ้าให้ยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นใน 2 สัปดาห์ แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การเพาะเชื้อคลามีเดียในเซลล์ การขูดเยื่อบุตาย้อมส่วนด้วย Geimsa stain หรือ Immunofluorescein เป็นต้น และ รักษาต่อไป

ในผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น อาจต้องผ่าตัดแก้ไขเปลือกตา ที่เป็นแผลเป็น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อน หรือ อาจต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา

วิธีป้องกันโรคริดสีดวงตา

  1. รักษาความสะอาดของใบหน้าเสมอ โดยเฉพาะในเด็กๆเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงตอมตา ซึ่งเป็นทางติดต่อและแพร่กระจายโรคได้ทางหนึ่ง
  2. กำจัดแมลงวัน โดยการกำจัดขยะให้ถูกวิธี และไม่ทิ้งขยะใกล้บ้าน
  3. ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว
  4. ใช้น้ำสะอาด และมีน้ำสะอาดใช้อย่างเพียงพอในกิจวัตรส่วนตัว

ริดสีดวงตา ภาวะติดเชื้อที่หนังตา เกิดจากฝุ่นเข้าตา แมลงวันตอมตา ทำให้เกิดตุ่มเล็กๆใต้หนังตา อาการเจ็บตา ตาแดง น้ำตาไหล และขี้ตามาก หากไม่รักษาทำให้ตาบอด เกิดได้ในทุกเพศ ทุกวัย พบในเพศหญิงสูงกว่าเพศชายมาถึง 2 เท่า


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove