หืดหอบ หอบหืด ( Asthma ) ภาวะหลอดลมอักเสบ เกิดการหดตัวแบบชั่วคราว ทำให้หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก ทำให้เสียชีวิตได้ แนวทางการรักษาและป้องกันโรคทำอย่างไรโรคหืดหอบ โรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจ หายใจไม่ออก

ลักษณะของโรคหืดหอบ ซึ่งสัญญาณที่บ่งบอกอาการของโรคหอบหืด ที่แสดงได้ชัดเจน คือ เหนื่อยหอบ หายใจเสียงหวีด แน่นหน้าอก หายใจลำบากและมีอาการไอ เกิดขึ้นถี่และรบกวนการใช้ชีวิต ต้องใช้ยาบรรเทาอาการหายใจไม่ออก

โรคหืดหอบ คือ โรคระบบทางเดินหายใจ ชนิดเรื้อรัง ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นโรคที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต เพราะ ทำให้หายใจไม่ออก หากเกิดในเด็ก อาจทำให้พัฒนาการเรียนรู้ช้า หากเกิดในวัยผู้ใหญ่การทำงานก็จะไม่เต็มที่ ชีวิตประจำวันจะไม่ปรกติ ผู้ป่วยโรคหืดหอบ ต้องรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

โรคหืดหอบในประเทศไทย 

สำหรับโรคหืดหอบในประเทศไทย นั้น พบได้ร้อยละ 7 ของประชากรในประเทศ โรคนี้พบได้บ่อยและมีโอกาสเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่อัตราการเกิดโรคในเด็กช่วงอายุ 10 – 12 ปี มากที่สุด โดยพบว่าเด็กร้อยละ 10-12% ของเด็กทั้งหมดมีโอกาสเป็นโรคหืดหอบ โดยเฉพาะประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร และทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้น

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย พบว่า มีผู้ป่วยโรคหอบหืดเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี พ.ศ. 2538 มีผู้ป่วย 66,679 คน และ ปี พ.ศ. 2552 มีผู้ป่วยเป็น 102,273 คน

สาเหตุของการเกิดโรคหืดหอบ

การเกิดโรคหืดหอบมีปัจจัยต่างๆของการเกิดโรค หลายสาเหตุ สามารถสรุปปัจจัยการเกิดโรคหอบหืด ได้ดังนี้

  • เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าคนที่มีประวัติการเป็นโรคหอบหืด คนในครอบครัวที่สืบเชื้อสายเดียวกันมีโอกาสเกิดโรคสูงกว่า
  • การเกิดโรคภูมิแพ้ สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ทางเดินหายใจมีโอกาสเกิดโรคหืดหอบได้
  • การสูดดมสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย การได้รับสารเคมีต่างๆ เช่น กลิ่นสี ยาฆ่าแมลง สเปรย์แต่งผม หรือ ควันบุหรี่ สูดดมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจนานๆ ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจผิดปรกติได้
  • ภาวะการการออกกำลังกายน้อย หรือ ออกกำลังกายในสภาพอากาศเย็นทำให้ระบบทางเดินหายใจหดตัว
  • ภาวะความเครียดสะสม ความเครียดส่งผลให้ระบบการหายใจผิดปกติโดยไม่รู้ตัว
  • การได้รับสารพิษ โดยเฉพาะสารในกลุ่มซัลไฟต์ ( Sulfites ) และ สารกันบูด โดยสารเหล่านี้มักจะเจือปนในอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิด เช่น ผลไม้แห้ง เบียร์ ไวน์ เป็นต้น
  • ภาวะการเกิดโรคกรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหารหากไหลย้อนเข้าหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นหอบหืดได้
  • การติดเชื้อโรคที่ระบบทางเดินหายใจ เช่น ไวรัสทางเดินหายใจ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง เป็นต้น

การกำเริบของโรคหืดหอบ

สำหรับการเกิดโรคหืดหอบกำเริบสามารถเกิดได้ตลอดเวลา โดยสัญญาณเตือนและอาการที่แสดงออกจากระบบหายใจอุดกั้น ต้องรับการรักษาจากแพทย์โดยด่วน สถานการณ์ต่างๆที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรคหืดหอม มีดังนี้

  • หืดหอบขณะออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยโรคหืดหอบ หากออกกำลังกายหนักเกินไป ทำให้อาการกำเริบได้ แต่ผู้ป่วยโรคหืดหอมสามารถออกกำลังกายได้ โดยควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังในสภาพอากาศแห้งและเย็น
  • หืดหอบขณะทำงาน สำหรับสภาพอากาศที่มีสารพิษ ฝุ่น ควันและแก๊ส สามารถทำให้เกิดอาการกำเริบของหืดหอบได้
  • หืดหอบจากการแพ้อากาศ สำหรับผู้ป่วยที่อาการแพ้อากาอยู่แล้ว หากถูกกระตุ้นด้วยสารก่อภูมิแพ้ ในภาวะอากาศเย็น ทำให้เกิดอาการกำเริบได้

อาการของโรคหืด

สำหรับอาการของโรคหืดหอบนั้นจะแสดงอาการแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยอาการของโรคหืดหอบโดยทั่วไป มีการแสดงอาการ ดังนี้

  • ภาวะการหายใจลำบาก หายใจสั้น หายใจลำบากหายใจไม่อิ่ม หายใจมีเสียงวี้ด
  • เจ็บหน้าอก
  • มีอาการแน่นหน้าอก
  • มีอาการเหนื่อยหอบ
  • มีอาการไอ
  • มีปัญหานอนหลับ หลับไม่สนิท

สำหรับการแสดงอาการของโรคหืดหอบที่รุนแรงต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์อย่างเร่งด่วน มีดังนี้

  • มีอาการหายใจหอบและถี่
  • หายใจลำบากและมีเสียงดัง
  • หากใจลำบาก และ ใช้อุปกรณ์พ่นยาช่วยแต่ไม่ดีขึ้น
  • หายใจหอบ เมื่อทำกิจกรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหืดหอบ

การเกิดโรคหืดหอบ หากเป็นภาวะโรคระดับเรื้อรัง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคและเป็นอันตรายต่อชีวิต มีรายละเอียด ดังนี้

  • ภาวะแทรกซ้อนทั่วไปของโรคหืดหอบ เช่น ภาวะการขาดน้ำ ภาวะปอดแฟบ ภาวะหมดแรง ภาวะการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใน เช่น ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ เป็นต้น
  • ภาวะแทรกซ้อนของโรคหืดหอบที่ร้ายแรง เช่น ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต จากโรคหืดหอบ
  • ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะปอดทะลุ ภาวะมีอากาศในประจันอกและใต้หนัง เป็นลมจากการไอ เป็นต้น
  • ภาวะแทรกซ้อนโรคหืดหอบในสตรีมีครรภ์ สำหรัยผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ จะไม่สามารถควบคุมอาการของโรคหืดหอบได้ อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกตลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักตัวน้อย หรือ ทารกตายในครรภ์ เป็นต้น

การรักษาโรคหืด

สำหรับการรักษาโรคหืดหอบในปัจจุบัน ไม่มีวิธีการรักษาให้โรคนี้หายขาดได้ แต่การรักษาทำเพื่อการควบคุมอาการให้เป็นปกติมากที่สุด ผู้ป่วยที่มีอาการหืดหอบบ่อย จะได้รับยาเพื่อลดอาการของโรค แนวทางการรักษามีแนวทาง คือ การให้ยาเพื่อควบคุมอาการของโรค การรักษาเพื่อบรรอาการของโรค และ การปรับพฤติกรรมเพื่อลดการกระตุ้นการเกิดโรค รายละเอียด ดังนี้

  • การใช้ยาควบคุมการเกิดโรคหืดหอบ ผู้ป่วยต้องใช้เป็นประจำ เพื่อการรักษาอาการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ( Inhaled Corticosteroid ) และ ยากลุ่มอื่น ๆ เช่น ยาต้านลิวโคไทรอีน ( Leukotriene Modifier Antagonist ) เป็นต้น
  • การบรรเทาอาการหอบหืด ได้แก่ การใช้ยาพ่นขยายหลอดลม
  • การปรับพฤติกรรมต่างๆที่กระตุ้นการเกิดโรคหืดหอบ เช่น รักษาความสะอาดของสภาพแวดล้อม การไม่ออกกำลังกายหนักเกินไป การไม่ออกแรงมากเกินไป เป็นต้น

การป้องกันโรคหืดหอบ  

แนวทางการป้องกันโรคหืดหอบ เป็นสิ่งที่สำคัณและควรทำมากที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดโรค เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคหืดหอบให้หายขาด การดูแลตนเองและป้องกันการเกิดโรคหืดหอบ มีดังนี้

  • หมั่นตรวจร่างกาย ตรวจสอบการหายใจ ประจำปี
  • รับวัคซีนต่างๆที่กระตุ้นการเกิดโรคหิืดหอบ เช่น รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันปอดบวม เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นให้เกิดโรคหืดหอบ เช่น ไม่อยู่ในสถานที่ที่สภาพอากาศไม่ดี ไม่ออกกำลังกายขณะอากาศเย็นจัด
  • หากมีอาการโรคหืดหอบ ต้องเข้าพบแพทย์และรับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ
  • เรียนรู้เรื่องการป้องกันตับพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยโรคหืดหอบ
  • รับประทานอาหารที่เหมาะสม ถูกสุขอนามัย
  • ดื่นน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ

โรคหืดหอบ ( Asthma ) การอักเสบของหลอดลม ภาวะการหดตัว หรือ ตีบแคบของหลอดลม แบบชั่วคราว ทำให้หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก ทำให้เสียชีวิตได้ โรคของคนกรุง แนวทางการรักษาโรคทำอย่างไร โรคระบบทางเดินหายใจ

โรคท้องมาน ภาวะมีน้ำขังอยู่ในช่องท้องปริมาณมาก เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ โรคหัวใจล้มเหลว โรคไต เป็นต้น การรักษาและการป้องกันโรคทำอย่างไรโรคท้องมาน โรคท้องโต โรคท้องบวม โรคตับ

ความหมายของโรคท้องมาน จากพจนานุกรมราชบัณฑิตย์สถาน พ.ศ. 2542 ท้องมาน ท้องบวม หมายถึง ชื่อโรคจำพวกหนึ่ง มีอาการให้ท้องโตเหมือนสตรีมีครรภ์ ภาวะที่เกิดมีน้ำคั่งในช่องท้องมากผิดปกติ จนเป็นสาเหตุให้ท้องขยายใหญ่โตขึ้น

ชนิดของโรคท้องมาน

โรคท้องมาน นั้นโดยทั่วไปสามารถแบ่งชนิดของโรคได้ 2 ชนิด คือ Serum Ascites Albumin Gradient (SAAG) และ ascites neutrophil โดยแบ่งจากปริมาณน้ำในท้องและสาเหตุของการท้องโต รายละเอียด ดังนี้

  • Serum Ascites Albumin Gradient (SAAG) คำนวณจากอัตราส่วนของโปรตีนแอลบูมินในน้ำที่ขังนช่องท้อง เปรียบเทียบกับระดับของโปรตีนแอลบูมินในเลือด
  • ascites neutrophil มากกว่า 250 cells/ml หรือมากกว่า 50% บ่งว่าผู้ป่วยน่าจะมีการติดเชื้อของน้ำในช่องท้อง และหากสงสัยว่ามีมะเร็งหรือ pancreatic ascites ก็ควรส่งตรวจ cytology หรือ amylase ร่วมด้วย

ปัจจัยเสี่ยงที่มำให้เกิดโรคท้องมาน

การเกิดภาวะน้ำขังในช่องท้องนั้น สามารถสรุปปัจจัยการเกิดโรคได้ ดังนี้

  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ทั้งชนิด B และ C
  • การดื่มสุราบ่อย จนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
  • มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โระมะเร็ง และ โรคไต
  • การติดเชื้อที่ช่องท้อง เช่น ติดเชื้อวัณโรค เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดโรคท้องมาน

จากปัจจัยของการเกิดโรค เราจึงสามามารถสรุปสาเหตุของการเกิดโรคท้องมาน ได้ดังนี้

  • โรคตับ ร้อยละ75 ของผู้ป่วยที่มีอาการท้องมาน จะมีภาวะป่วยโรคตับแข็ง น้ำในช่องท้องมีผลมาจากความดันเลือดในตับสูงขึ้น ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยโรคตับแข็ง มีภาวะโรคท้องมาน 10 ปี มีอาการท้องบวม เท้าบวม มีน้ำในช่องอก มีอัตราการเสียชีวิตสูง
  • โรคมะเร็งในช่องท้อง เช่น มะเร็งรังไข่ หรือ เชื้อมะเร็งที่กระจายเข้าสู่ช่องท้อง เป็นต้น ร้อยละ 15 ของผู้ป่วยโรคท้องมาน เป็นโรคมะเร็ง
  • มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลว
  • เป็นผุ้ป่วยโรคไต
  • ขาดสารอาหาร มีภาวะขาดแอลบูมิน เป็น โปรตีนจากไข่ขาว
  • เกิดภาวะการอักเสบที่ช่องท้อง เช่น ติดเชื้อวัณโรค โรคภูมิแพ้
  • เกิดภาวะโรคตับอ่อนอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากการดื่มสุรา หรือ การเกิดอุบัติเหตุกระทยที่ตับอ่อน
  • การอุดตันของหลอดเลือดใหญ่ที่ตับ

อาการโรคท้องมาน

สำหรับความรุนแรงของโรคท้องมาน แบ่งออกเป็น 3 ระดับ เรียกว่า Grading of ascites โดยรายละเอียดดังนี้

  • ระดับที่ 1 ( Grade 1) มีอาการของโรคท้องมานเพียงเล็กน้อย สามารถตรวจพบได้โดยการอัลตร้าซาวน์
  • ระดับที่ 2 ( Grade 2) มีอาการของโรคปานกลาง การตรวจร่างกายประจำปี สามารถพบได้
  • ระดับที่ 3 ( Grade 3) มีอาการหนัก มีภาวะท้องตึงแน่น

ผู้ป่วยโรคท้องมาน สามารถสังเกตุอาการของโรคได้ โดยมีลักษณะของโรค ดังนี้

  • ท้องโต แน่นท้อง อาจทำให้หนังท้องปริและมีน้ำซึมออกมาได้ ในบางรายพบว่ามีสารน้ำในเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วย
  • มีอาการเหนื่อยหอบและหายใจติดขัด
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • อาการของป่วยจากตับ เช่น ดีซ่าน นมโต ฝ่ามือแดง เป็นต้น

การวินิจฉัยโรคท้องมาน

การตรวจวินิจฉัยดรคแพทยืจะทำการ ตรวจร่างกาย และ สอบถามประวัติการเกิดโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ และ โรคมะเร็ง แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับ ดูดน้ำในช่องท้องออกมาตรวจ อัลตราซาวน์ช่วยในการเจาะดูดสารน้ำในช่องท้อง

การรักษาโรคท้องมาน

การรักษาโรคท้องมาน ต้องทราบสาเหตุของการเกิดโรค ก่อนและรักษาที่สาเหตุของโรค โดยแนวทางการรักษาโรคท้องมาน การรักษาเพื่อลดระดับน้ำในท้องทำให้ผู้ป่วยสบายขึ้น ช่วยรักษาสมดุลของเกลือ และช่วยในการปรับละดับน้ำในร่างกายและหลอดเลือดมีรายละเอียด ดังนี้

  • การรักษาอาการท้องมานขึ้นกับโรคที่เป็นสาเหตุ
  • ถ้าเกิดจากโรคมะเร็งแพร่กระจาย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาด้วยการผ่าตัดและเคมีบำบัด
  • ปรับเรื่องการกินอาหาร ลดอาหารที่มีโซเดียม และ อาหารที่มีรสเค็ม
  • รักษาโรคตับ ในผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากโรคตับแข็ง ให้จำกัดปริมาณโซเดียมในร่างกาย
  • ให้ยาขับปัสสาวะ โดยขนาดของยาขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและการตอบสนอง แลเต้องให้ยาโดยหลีกเลี้ยงการปัสสาวะในเวลากลางคืน
  • เจาะช่องท้องเพื่อระบายน้ำ สามารถระบายน้ำได้ถึง 5 ลิตรต่อครั้ง
  • ผ่าตัดเพื่อทำทางระบายน้ำในช่องท้อง
  • ผ่าตัดเปลี่ยนตับ สำหรับผู้ป่วยโรคตับแข็งระยะรุนแรง หรือมีภาวะตับวาย

โรคท้องมาน ความผิดปรกติของร่างกายจากภาวะมีน้ำขังอยู่ในช่องท้องปริมาณมาก โดยเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ โรคหัวใจล้มเหลว โรคไต เป็นต้น การรักษาและการป้องกันโรคทำอย่างไร ท้องบวม โรคท้องโตผิดปรกติ

 


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove