ฝรั่ง Guava ผลไม้แสนอร่อย สรรพคุณของฝรั่ง กลิ่นปาก บำรุงเหงือกและฟัน บำรุงผิวพรรณ รักษาแผลลักษณะของต้นฝรั่งเป็นอย่างไร ทำความรู้จักกับฝรั่ง

ฝรั่ง สมุนไพร ผลไม้ สรรพคุณฝรั่ง

ต้นฝรั่ง ภาษาอังกฤษ เรียก Guava ชื่อวิทยาศาสตร์ของฝรั่ง คือ psidium guajawa L สำหรับชื่อเรียกอื่นๆของฝรั่ง เช่น จุ่มโป มะแกว มะกา มะมั่น มะปุ่น มะก้วย สีดา ชมพู่ เป็นต้น ฝรั่งมีถิ่นกำเนิดที่ทวีปอเมริกากลาง คาดว่าเข้าสู่ประเทศไทยโดย พ่อค้าชาวโปรตุเกตและสเปน นำเข้ามา ซึ่งปัจจุบันฝรั่งได้รับความนิยมในการบริโภคสูงในประเทศ จัดว่าเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของประเทศ

ฝรั่งในปะเทศไทย

ฝรั่งในประเทศไทย ถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ผลฝรั่งได้รับความนิยมในการบริโภคผลสดสูง มีการปลูกต้นฝรั่งเพื่อใช้จำหน่ายเชิงพาณิชย์ ผลฝรั่งรสชาติดี ราคาไม่แพง วิตามินซีสูง นอกจากนั้นผลฝรั่งสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ เช่น น้ำฝรั่ง เยลลี่ฝรั่ง แยมฝรั่ง เป็นต้น ซึ่งแหล่งปลูกฝรั่งที่สำคัญของประเทศไทยอยู่ในจังหวัดนครปฐม ราชบุรี และ จังหวัดใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ผลผลิตฝรั่งมีทั้งปี

ลักษณะของต้นฝรั่ง

ต้นฝรั่ง ไม้ยืนต้น สามารถปลูกได้ในทุกสภาพดิน ขยายพันธ์ได้ด้วยการตอนกิ่ง เพาะเมล็ดพันธ์ ลักษณะของต้นฝรั่ง มีดังนี้

  • ลำต้นฝรั่ง ลำต้นเป็นทรงพุ่ม ความสูงประมาณ 3 – 8 เมตร เปลือกต้นเรียบ มีเปลือกของลำต้นสีน้ำตาล
  • ใบของฝรั่ง เป็นใบเดี่ยว ยอดอ่อนมีขนสั้นๆ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรีแกมขอบขนาน กว้าง 3-8 ซม. ยาว 6-14 ซม.
  • ดอกของฝรั่ง เป็นดอกเดี่ยวหรือช่อ 2-3 ดอก ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว ร่วงง่าย มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก
  • ผลของฝรั่งจะมีสีเขียว ผลเป็นผลสด ผลดิบสีเขียว กินได้ เมื่อสุกเป็นสีเหลือง

สายพันธ์ฝรั่ง

พันธุ์ของฝรั่งที่นิยมกินสดๆ เป็นพันธุ์ฝรั่งที่นิยมปลูกเพื่อการค้า นั้น มี 5 พันธ์ ประกอบด้วย ฝรั่งเวียดนาม ฝรั่งกิมจู ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งแป้นสีทอง และ ฝรั่งไร้เมล็ด โดยรายละเอียด มีดังนี้

  • ฝรั่งเวียดนาม ลูกใหญ่กว่าฝรั่งพื้นบ้าน ถึง 2 – 3 เท่า ถูกนำเข้าจากเวียดนามมาปลูกที่อำเภอสามพรานเมื่อ พ.ศ. 2521– 2523
  • ฝรั่งกิมจู เป็นฝรั่งไร้เมล็ด สีนวลสวย รสหวานกลมกล่อม กรอบ
  • ฝรั่งกลมสาลี่ เป็นพันธ์แรกๆที่นิยมปลูกกันมาก ต่อมามีพันธ์แป้นสีทองเข้ามา จึงปลูกน้อยลงเรื่อยๆ
  • ฝรั่งแป้นสีทอง ปลูกมากที่สุดในประเทศไทย ผลเมื่อโตเต็มที่จะขาว ฟู กรอบ เริ่มแรกปลูกที่อำเภอสามพราน ภายหลังได้แพร่กระจายไปทั่ว
  • ฝรั่งไร้เมล็ด ลักษณะลูกยาวๆ ไม่มีเมล็ด รสชาติด้อยกว่าฝรั่งแป้นสีทอง และกิมจู

คุณค่าทางโภชนาการของฝรั่ง

สำหรับการบริโภคฝรั่งนิยมรับประทานผลฝรั่งสด ซึ่งนักโภชนาการได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของผลฝรั่งขนาด 100 กรัม พบให้พลังงานมากถึง 51 กิโลแคลอรี มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย วิตามิน B1 0.06 มิลลิกรัม วิตามิน B2 0.13 มิลลิกรัม วิตามิน C 160 มิลลิกรัม วิตามิน A 89 มิลลิกรัม แคลเซี่ยม 13 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 0.5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 11 กรัม โปรตีน 0.90 กรัม เส้นใยอาหาร 6 กรัม ไขมัน 0.11 กรัม ความชื้น 80.70% และมีสารเพคตินเป็นจำนวนมาก

เพคติน ( pectin ) เป็น พอลิแซ็กคาไรด์ ( polysaccharide ) ประเภท heteropolysaccharide ซึ่งมีหน่วยย่อย คือ กรด กาแล็กทูโรนิก เมทิลการแล็กทูโรเนต และน้ำตาล ทำหน้าที่ยึดเกาะผนังเซลล์ของร่างกายให้แน่น

สรรพคุณของฝรั่ง

สำหรับการใช้ประโยชน์จากฝรั่งด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สามารถนำฝรั่งมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ ใบ ผลและราก ซึ่งรายละเอียด สรรพคุณของฝรั่ง มีดังนี้

  • รากของฝรั่ง สามารถใช้ รักษาฝี รักษาแผลพุพอง แก้เลือดกำเดาไหล
  • ใบของฝรั่ง ใช้ในการ แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้ท้องเดิน ใช้ห้ามเลือดในแผลสด ระงับกลิ่นปาก รักษาฝี เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง และถอนพิษบาดแผล บรเทาอาการเหงือกบวม แก้พิษเรื้อรัง แก้ปวด
  • ผลอ่อนของฝรั่ง ใช้ในการแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้ท้องเดิน ระงับกลิ่นปาก รักษาอาการบิด รักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน บำรุงเหงือกและฟัน บำรุงผิวพรรณ
  • ผลสุก สามารถใช้เป็นยาระบายได้ดี

วิธีทำน้ำฝรั่ง

  1. เริ่มจากการคัดเเลือกผลฝรั่ง ที่สดๆ ก่อน การสังเกตุผลฝรั่งที่สด ดูจากผลฝรั่งแข็ง ไม่นุ่ม นำผลฝรั่งมาหั่นเป็นชิ้น เอาเมล็ดออก จากนั้นให้เตรียมน้ำเชื่อมโดย
  2. การเตรียมน้ำเชื่อม ให้นำน้ำสะอาดต้มสุก ใส่น้ำตาล และ เกลือลงไปต้ม ให้ได้รสชาติหวานแบบกลมกล่อม
  3. เมื่อเราได้น้ำเชื่อมและเนื้อฝรั่งแล้ว ก็เริ่ม โดยการ นำเนื้อฝรั่งมาใส่น้ำพอท่วมเนื้อฝรั่ง และ ปั่นให้ละเอียด เราจะได้น้ำฝรั่ง จากนั้น ให้ทำการกรองน้ำฝรั่ง เราจะได้น้ำสีเขียวของฝรั่ง
  4. นำน้ำฝรั่งมาปรุงรสกับน้ำเชื่อม ซึ่งขั้นตอนนี้ ความหวานของน้ำเชื่อมให้ใส่ได้ตามใจคนดื่มได้เลย
  5. จากนั้นให้นำน้ำฝรั่ง ที่เราปรุงรสเอาไว้แล้ว แช่เย็น เมื่อน้ำฝรั่งเย็นได้ที่ก็พร้อมสำหรับนำมาดื่มให้ความสดชื่นต่อร่างกาย

โทษของฝรั่ง

สำหรับการกินฝรั่ง หากบริโภคอย่างไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ โดยข้อควรระวังในการบริโภคฝรั่ง มีรายละเอียด ดังนี้

  • การรับประทานเมล็ดของฝรั่ง อาจทำให้เมล็ดตกค้างในไส้ติ่ง ทำให้เกิดภาวะไส้ติ่งอักเสบได้
  • สตรีมีครรภ์หากรับประทานผลฝรั่งในปริมาณที่มาก อาจทำให้เกิดภาวะท้องอืดได้ง่าย ทำให้เป็นอันตรายต่อครรภ์
  • ผลฝรั่งอาจมีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การนำฝรั่งมารับประทาน ควรทำความสะอาดอย่าให้มีสารตกค้างที่ผิวของผลฝรั่ง

Beezab.com แหล่งความรู้ด้านสุขภาพ สมุนไพร (แบ่งตามสรรพคุณรักษาโรคของสมุนไพร) โรค (แบ่งต่ามอาการป่วยของอวัยวะต่างๆ) แม่และเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ โยคะ ธรรมะครูบาอาจารย์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลการดูแลตัวเองเบื้องต้น ข้อมูลดีๆในเว็ยไซต์แห่งนี้เนื้อหามีไว้เพื่อการศึกษาหรือเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเท่านั้น เราไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือ การรักษาโรคแต่อย่างใด หากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบาย ควรคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดูที่ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งานของเรา

กานพลู clove tree สมุนไพร ส่วนประกอบของเครื่องเทศ มีประโยชน์มากมาย บำรุงเหงือกและฟัน ช่วยขับลม ขับของเสียออกจากร่างกาย ลักษณะของต้นกานพลูเป็นอย่างไร

กานพลู สมุนไพร สรรพคุณของกานพลู

ต้นกานพลู ภาษาอังกฤษ เรียก clove tree ชื่อวิทยาศาสตร์ของกานพลู คือ SyZagium aromaticum สำหรับชื่อเรียกอื่นๆของกานพลู เช่น จันจี่ ดอกจัทร์ เป็นต้น แหล่งกำเนิดของกานพลู เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของหมู่เกาะโมลุกกะ ปลูกในเขตร้อนทั่วโลก ชอบความชื้นสูง พบได้ตามป่าดงดิบ ประเทศฟิลิปปินส์มีกานพลูเป็นพืชประจำท้องถิ่น

กานพลูในประเทศไทย สำหรับการปลูกกานพลูในประเทศไทย พบว่าสามารถปลูกได้เฉพาะเพียงบางพื้นที่เท่านั้น และ การปลูกกานพลูในประเทศไทยมีน้อยมาก แต่ความต้องการในการใช้ประโยชน์จากกานพลูมาก โดยใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องเทศในอาหาร ประเทศไทยจึงต้องนำเข้ากานพลูเป็นหลัก โดยการนำเข้ากานพลูมีมากกว่า 100 ตันต่อปี และ ประเทศที่ส่งกานพลูเข้ามาขายในประเทศไทย คือ ประเทศอินโดนีเชีย

นอกจากจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องเทศแล้ว กานพลูสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการรักษาโรค ซึ่งตำรายาสมุนไพรของไทยใช้ดอกกานพลูแห้งนำมาดองเหล้า ใช้แก้ปวดฟัน นำดอกกานพลูแห้งบดให้ละเอียดชงกับน้ำดื่ม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลม ใช้ทำยาบ้วนปากช่วยระงับกลิ่นปาก

ลักษณะของต้นกานพลู

ต้นกานพลูเป็นไม้ยืนต้น ชอบความชื้นสูง พบได้ตามป่าดงดิบ  ลักษณะของต้นกานพลู มีดังนี้

  • ลำต้นกานพลู ลักษณะลำต้นตั้งตรง เปลือกเรียบ สีเทาความสูงประมาณ 10 เมตร เรือนยอดเป็นรูปกรวยคว่ำ แตกกิ่งต่ำ
  • ใบกานพลู ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวรูปวงรี ออกเรียงแบบตรงข้าม ขอบเป็นคลื่น สีแดงหรือน้ำตาลอมแดง และบริเวณเนื้อใบจะค่อนข้างเหนียวและมัน 
  • ดอกกานพลู ออกดอกเป็นช่อที่ซอกใบ โดยดอกนั้นมักร่วงหล่นจากต้น กลีบดอกมีสีขาว ส่วนกลีบเลี้ยงและฐานดอกจะมีสีแดงหนาๆ แข็งๆ ส่วนผลจะมีลักษณะรูปทรงไข่

คุณค่าทางโภชนาการของกานพลู

สำหรับการบริโภคกานพลูเป็นอาหารนิยมใช้ดอกแห้งกานพลูเป็นอาหาร ซึ่งนักโภชนาการได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของกานพลู พบว่ากานพลูมีสารสำคัญมากมาย เช่น  แคลเซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณสูง

ดอกของการพลูสามารถสกัดน้ำมันระเหยได้ จากการศึกษาพบมีสาร ยูยูจีนอลอะซีเตท (eugenolacetate) จีนอล (eugenol) และประมาณ 20 % ของน้ำมันกานพลู มี กรดแกลโลแทนนิค ( gallotannic acid ) ประมาณ 10% มีสารโครมีนส์ ( chromenes ) สารคารีโอไฟลีน ( caryophylline )  และกรดไตรเตอฟีน ( triterpene acid )

สรรพคุณของกานพลู

สำหรับการใช้ประโยชน์จากกานพลู ด้านการบำรุงร่างกายและการรักษาโรค สามารถใช้ประโยชน์จาก ดอก ใบ เปลือกของลำต้น และ ผล รายละเอียดของสรรพคุณของกานพลู มีดังนี้

  • ดอกของกานพลู สรรพคุณแก้ปวดฟัน ช่วยละลายเสมหะ แก้หอบหืด บรรเทาเลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดท้อง แก้โลหิตเป็นพิษ รักษาเหน็บชา ขับน้ำคาวปลา แก้ท้องอืด
  • ใบของกานพลู สรรพคุณรักษาแผลไฟไหม้ แก้ผื่นคันแก้ปวดท้อง
  • น้ำมันกานพลู สรรพคุณช่วยบรรเทาการชักกระตุก แก้ปวดท้อง แก้ปวดฟัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคหลายชนิด ใช้เป็นยาไล่ยุง
  • เปลือกต้นกานพลู สรรพคุณแก้ปวดท้อง แก้ลม

วิธีใช้กานพลูรักษาอาการปวดฟัน สามารถทำได้โดย ใช้สำลีชุบน้ำมันกานพลู หยดในรูฟันที่มีอาการปวด หรือใช้ฟันที่ปวดคาบสำลีที่ชุบน้ำมันกานพลูไว้ ก็สามารถบรรเทาอาการปวดฟันได้ดี

วิธีใช้กานพลูมากำจัดกลิ่นปาก โดย ดอมดอกกานพลูประมาณ 1-2 นาที และบ้วนทิ้ง ก็สามารถลดกลิ่นปากได้

วิธีใช้กานพลู รักษาอาการท้องอืด สามารถทำได้โดย นำดอกกานพลูมาบด และต้มน้ำรับประทาน จะช่วยให้ถ่ายง่ายขึ้น และขับลมได้ด้วย

โทษของกานพลู

การนำกานพลูมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆนั้นจำเป็นต้องนำมาใช้ประโยชน์อย่างถูกวิธีและได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้มีความรู้ ซึ่งหากนำกานพลูมาบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลเสียต่อร่างกาย โดยโทษของกานพลู สามารถสรุป ได้ดังนี้

  • กานพลูทำให้เกิดอันตรายมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เป็นอันตรายต่อร่างกาย สำหรับสตรีมีครรภ์และสตรีอยู่ในระหว่างการให้นมบุตร ควรระวังการใช้กานพลู
  • ดอกกานพลูมีสาร eugenol ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ ไม่ควรใช้น้ำมันกานพลูในปริมาณที่มากเกินไป
  • น้ำมันจากดอกกานพลู ใช้รักษาอาการปวดฟัน หรือ เพื่อระงับกลิ่นปากได้ แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองเหงือกและเยื่อบุในช่องปากได้

Beezab.com แหล่งความรู้ด้านสุขภาพ สมุนไพร (แบ่งตามสรรพคุณรักษาโรคของสมุนไพร) โรค (แบ่งต่ามอาการป่วยของอวัยวะต่างๆ) แม่และเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ โยคะ ธรรมะครูบาอาจารย์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลการดูแลตัวเองเบื้องต้น ข้อมูลดีๆในเว็ยไซต์แห่งนี้เนื้อหามีไว้เพื่อการศึกษาหรือเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเท่านั้น เราไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือ การรักษาโรคแต่อย่างใด หากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบาย ควรคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดูที่ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งานของเรา


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove