มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ Bladder cancer มะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะ อาการปัสสาวะเป็นเลือดแต่ไม่เจ็บ ปวดหลัง ปัสสสาวะมาก ปัสสาวะบ่อย แนวทางการรักษาและป้องกันโรคทำอย่างไร

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคมะเร็ง โรคไม่ติดต่อ โรคระบบทางเดินปัสสาวะ

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากเซลล์ที่เยื่อบุผนังของกระเพาะปัสสาวะ เกิดการแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ จนเกิดเนื้องอก และ เป็นเนื้อมะเร็งในที่สุด สามารถลุกลามเข้าสู่อวัยวะอื่นๆได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ปอด และตับ

ชนิดของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สามารถแบ่งได้ 5 ชนิด ซึ่งการแบ่งชนิดของโรคนั้นแบ่งออกได้ตามลักษณะของเซลล์มะเร็ง โดยชนิดของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีรายละเอียด ดังนี้

  • Transitional cell carcinoma ( TCC ) พบมากที่สุด ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเกิดมะเร็งชนิดนี้
  • Squamous cell carcinoma ( SCC ) พบว่าผู้ป่วยมะเร็งจากชนิดนี้ ร้อยละ 5 ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากเซลล์รูปสี่เหลี่ยม ทำให้ระคายเคือง เช่น พยาธิใบไม้ในเลือด
  • Adenocarcinoma พบว่าผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้ เกิดร้อยละ 2 ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  • Small cell carcinoma พบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากเซลล์ Neuroendocrine cells
  • Sarcomas เป็นชนิดที่พบได้น้อยมาก โดยเกิดในเซลล์กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ยังไม่หาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่พบว่ามีปัจจัยในการกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โดยรายละเอียดของปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรค มีดังนี้

  • การสูบบุหรี่ หรือ การสูดดมควันบุหรี่
  • การได้รับสารเคมีบางอย่าง เช่น สารอะนิลีน ( Aniline ) สารไฮโดรคาร์บอน  ( Hydrocarbon ) เป็นสารเคมีใช้ในการย้อมผ้า และ ใช้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ยาง และ สายไฟ
  • การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในเลือด ( Schistosomiasis ) พยาธิชนิดนี้จะวางไข่ฝังที่ผนังของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดการระคายเคืองแบบเรื้อรัง
  • การรับยาเคมีบำบัด เช่น ยา Cyclophosphamide
  • เป็นความผิดปรกของร่างกายจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ระยะของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สำหรับโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีระยะของโรค 4 ระยะ คือ ระยะ 1-4 โดยแตกต่างกันที่ระดับความรุนแรงของโรค โดยรายละเอียดดังนี้

  • มะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะที่ 1 เกิดมะเร็งบริเวณเยื่อบุภายในกระเพาะปัสสาวะ
  • มะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะที่ 2 เนื้อมะเร็งบางส่วนลุกลามเข้าสู่กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ
  • มะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะที่ 3 เนื้อมะเร็งลุกลามเข้าสู่ผนังกระเพาะปัสสาวะ และ เนื้อเยื่อรอบๆกระเพาะปัสสาวะ
  • มะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะที่ 4 เนื้อมะเร็งลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง และ กระจายสู่อวัยวะอื่น ๆ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ตับ หรือ ปอด เป็นต้น

อาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สำหรับอาการของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ จะแสดงอาการอย่างชัดเจนที่การปัสสาวะ ซึ่งสามารถสรุปลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ดังนี้

  • ปัสสาวะเป็นเลือดโดยไม่มีอาการเจ็บปวด
  • ปัสสาวะมากผิดปกติ
  • ปัสสาวะบ่อย มีอาการแสบ หรือ ขัดตอนปัสสาวะ
  • มีอาการปวดหลัง
  • มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมโต บริเวณขาหนีบ หรือ ไหปลาร้า
  • อาจมีอาการไอ หายใจลำบาก ปวดกระดูก

การวินิจฉัยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สำหรับการวินิจฉัยโรคนั้น หากผู้ป่วยมีอาการตามอาการของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ตามที่กล่าวมาในข้างต้น เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติ และ ลักษณะของอาการที่เกิดขึ้น จากนั้น ต้องทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดย การตรวจร่างกายและตรวจชิ้นเนื้อ มีรายละเอียด ดังนี้

  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูปริมาณของเม็ดเลือดแดงและเซลล์มะเร็งที่ปะปนมากับปัสสาวะ
  • การส่องกล้องตรวจทางเดินปัสสาวะ เพื่อตรวจดูโครงสร้างภายในของกระเพาะปัสสาวะกับท่อปัสสาวะ เพื่อให้เห็นเนื้องอกได้อย่างชัดเจน
  • การตรวจชิ้นเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ การนำชื้นเนื้อต้องสงสัยไปตรวจ เพื่อดูว่าชิ้นเนื้อนั้นๆ เป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
  • การตรวจทางรังสีวิทยา โดยใช้การ เอกซเรย์ ซีทีสแกน เอ็มอาร์ไอ หรือ อัลตราซาวด์ ตรวจที่บริเวณช่องท้อง เพื่อดูตำแหน่งและขนาดของมะเร็ง

การรักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สำหรับการรักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นั้น ต้องทำการรักษาโดยการกำจัดก้อนมะเร็ง บรรเทาอาการของโรค และ การรักษาโดย การใช้ เคมีบำบัด การให้ยาฆ่ามะเร็ง การรังสีบำบัด และ การผ่าตัด แต่การเลือกใช้วิธีการรักษาต้องอยู่ในดุลย์พินิจของแพทย์ โดยรายละเอียดของการรักษามะเร็งกระเพาปัสสาวะ มีดังนี้

  • การรักษาด้วนเคมีบำบัด โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะผ่านทางสายสวน เพื่อรักษามะเร็งในระยะเริ่มต้น อาจใช้การรักษาด้วยรังสีบำบัด ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
  • การให้ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง จะใช้หลังจากการตัดเนื้อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะออกไปแล้ว ให้ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำใหม่
  • การรักษาด้วยการผ่าตัด วิธีนี้ทำเพื่อกำจัดเนื้อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงอวัยวะใกล้เคียง ซึ่งการผ่าตัดนั้นใช้ 2 วิธี คือ การผ่าตัดโดยส่องกล้องซึ่งผ่านทางท่อปัสสาวะ และ การผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะผ่านทางช่องท้อง ซึ่งการผ่าตั้นนั้น แพทย์อาจต้องตัดกระเพาะปัสสาวะบางส่วนออก รวมถึงอวัยวะข้างเคียงออก เช่น ท่อไต ต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกราน ต่อมลูกหมาก ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ มดลูก รังไข่ และ ช่องคลอดบางส่วน เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
  • การรักษาด้วยรังสีบำบัด วิธีการรังสีบำบัดนั้นจะทำหลังจากการผ่าตัด หรือ ใช้การเคมีบำบัดร่วม สำหรับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้

ภาวะแทรกซ้อนจากการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

การเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สร้างความลำบากต่อร่างกายแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้แย่ขึ้นไปอีก คือ การเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งก่อนการรักษาโรคและหลังการรักษาโรค โดยภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ประกอบด้วย

  • การเกิดโรคโลหิตจาง
  • เกิดความผิดปรกติเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือ ปัสสาวะไม่ออก
  • เกิดภาวะท่อปัสสาวะตีบตัน ทำให้ปัสสาวะไม่ออก หรือ ปัสสาวะยาก
  • เกิดกรวยไตคั่งปัสสาวะ
  • เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
  • เกิดการลามของมะเร็ง จนเกิดมะเร็งในอวัยวะอื่นๆ เช่น ต่อมน้ำเหลือง ตับ ปอด หรือ กระดูก เป็นต้น
  • ทำให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • ทำให้เกิดวัยทองก่อนวัยอันควร

การป้องกันการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สำหรับการป้องกันการเกิดโรคนั้นยังไม่มีวิธีทางการแพทย์ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้อย่างเด็ดขาด แต่สิ่งที่สามารถทำได้ คือ การลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรค ที่เราสามารถควบคุมได้ โดยแนวทางการปฏิบัติมีดังนี้

  • เลิกสูบบุหรี่ หรือ ไม่สูบบุหรี่ หรือ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
  • ไม่เที่ยวสถานท่องเที่ยวกลางคืน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีการปล่อยให้มีการสูบบุหรี่ การที่เราไม่สูบบุหรี่แต่การสูดดมควันบุรหรี่ก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเช่นกัน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  • ให้ดื่มน้ำตามปรริมาณความต้องการของร่างกาย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผักและผลไม้ โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
  • หากมีอาการผิดปรกติที่ระบบขัยถ่าย เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ให้รีบพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างทันท่วงที

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ( Bladder cancer ) คือ มะเร็งเกิดที่กระเพาะปัสสาวะ ส่งผลต่อระบบการปัสสาวะ อาการของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือดแต่ไม่เจ็บ ปวดหลัง ปัสสสาวะมาก ปัสสาวะบ่อย เป็นต้น การรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะทำอย่างไร สาเหตุของการเกิดโรค การป้องกันการเกิดโรค

หูดงอนไก่ ( Genital wart ) ติ่งเนื้อผิวหนังอวัยวะเพศเกิดจากติดเชื้อไวรัส HPV เรียก หูดอวัยวะเพศ หูดกามโรค อาการติ่งเนื้อที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก ไม่เจ็บ ไม่อันตรายหูดหงอนไก่ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีติ่งเนื้อที่อวัยวะเพศ โรคติดต่อ

สาเหตุของการเกิดหูดหงอนไก่

สาเหตุของการเกิดติ่งเนื้อที่อวัยวะเพศ เกิดจากติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ( HPV ) บางสายพันธุ์ ซึ่งร้อยละ 90 ของผู่ป่วยโรคหูดหงอนไก่ เกิดจากไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ย่อย 6 และ 11 ซึ่งการติดโรคหูดหงอนไก่ มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยมักเกิดในวัยรุ่น เชื้อไวรัสเอชพีวีเมื่อเข้าสู่ร่างการ เชื้อโรคจะมีระยะในการฟักตัวของโรค 30 วัน ถึง 2 ปี แต่จากสถิติพบว่าส่วนมากจะแสดงอาการภายใน 120 วัน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกาย เมื่อผิวหนังได้รับเชื้อผ่านทางการสัมผัสผิวหนัง เชื้อไวรัสก็จะเจริญเติบโตและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ที่ผิดปกติ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่

จากที่กล่าวมาข้างต้นว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี สายพันธ์ย่อยที่ 6 และ 11 โดยสามารถสรุปปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ ได้ดังนี้

  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ปลอดภัย ไม่สวมถุงยางอนามัย
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคนมีเชื้อไวรัสเอชพีวี หรือ มีประวัติติดเชื้อโรคไวรัสเอชพีวี
  • การนิยมเปลี่ยนคู่นอน

อาการของหูดหงอนไก่

เมื่อได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีเข้าสู่ร่างการ เชื้อโรคจะมีระยะในการฟักตัวของโรค 30 วัน ถึง 2 ปี แต่จากสถิติพบว่าส่วนมากจะแสดงอาการภายใน 120 วัน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกาย เมื่อผิวหนังได้รับเชื้อผ่านทางการสัมผัสผิวหนัง เชื้อไวรัสก็จะเจริญเติบโตและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ที่ผิดปกติ ทำให้เกิดอาการต่างๆมากมาย คือ เกิดเมือก ( Mucosa ) ที่อวัยวะเพศ ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก ทวารหนัก ช่องปาก ในลำคอ จากนั้นจะเกิดรอยต่างๆ ลักษณะเป็นตุ่มเดียวหลายตุ่ม คล้ายดอกกะหล่ำ สีชมพู ผิวขรุขระ เพิ่มจำนวนมากขึ้น สร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วย

การรักษาโรคหูดหงอนไก่

การรักษาเนื่องจากสาเหตุของการเกิดหูดหงอนไก่ คืิอ เชื้อไวรัสเอชพีวี การรักษาต้องกำจัดเชื้อไวรัส พร้อมๆกับการกำจัดติ่งเนื้อออกไป ด้วยใช้วิธีทางการแพทยต่างๆ เช่น ความร้อนจัด ความเย็นจัด หรือ ยาเคมีบำบัดบางชนิด วิธีรักษาหูดหงอนไก่ สามารถสรุปได้ดังนี้

  • ใช้ไฟฟ้าจี้ ( Electrocauterization ) จี้ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ เพื่อตัดติ่งเนื้อออก ซึ่งวิธีนี้มีข้อเสีย คือ ควันที่เกิดจากการจี้ในระหว่างการรักษาหูดนั้น จะมีเชื้อไวรัส HPV ปนอยู่ หากสูดดมเข้าไป อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ HPV ที่ทางเดินหายใจได้
  • ใช้ความเย็นจี้ ( Cryotherapy ) ใช้สำลีชุบไนโตรเจนเหลวป้ายที่รอยติ่งเนื้อ ความเย็นจะสัมผัสติ่งเนื้อประมาณ 15 วินาที อาจทำให้มีรอยดำหลังการรักษา และ มีอาการเจ็บ ขณะรักษา
  • การผ่าตัดหูดหงอนไก่ออก วิธีนี้ลดปัญหาการกลับมาเกิดซ้ำของหูดหงอนไก่ได้มากที่สุด ใช้ในกรณีผู้ป่วยไม่ตอบสนองจากวิธีอื่นๆ
  • ใช้การทาน้ำยาPodophyllin วิธีนี้อาจมีอาการระคายเคือง แสบผิวในจุดที่โดนแต้มยา
  • ใช้การทาด้วยน้ำยาTrichloroacetic acid การรักษาด้วยวิธีนี้อาจทำให้มีอาการแสบ และ ระคายเคืองที่ผิวตรงจุดที่โดนทา

ผลข้างเคียงของโรคหูดหงอนไก่

ผลข้างเคียงของการเกิดหูดหงอนไก่ นั้นสิ่งแรก คือ ไม่น่ามอก หรือ ไม่น่าสัมผัส ทำให้รู้สึกขยะแขยง อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ระบบสืบพันธุ์ และ มะเร็งทวารหนักได้ ซึ่งสามารถสรุปผลข้างเคียงต่างๆ ได้ดังนี้

  • หากเกิดกับสตรีมีครรภ์ หูดหงอนไก่ อาจมีขนาดใหญ่จนเกิดการกีดขวางทางคลอด และเชื้อโรคมีโอกาสติดสู่เด็ทารกได้ ทำให้เกิดหูดในกล่องเสียง ทำให้เด็กทารกออกเสียง หรือ หายใจไม่สะดวก
  • หากเกิดกับชายในกลุ่ม รักร่วมเพศ มักพบหูดหงอนไก่รอบทวารหนัก หรือ เกิดในทวารหนัก ซึ่งการรักษายาก ทำให้เกิดภาวะทวารหนักตีบตัน ขับถ่ายยาก ทำให้ท้องผูก สามารถทำให้เกิดมะเร็งทวารหนักได้
  • หากเกิดหูดหงอนไก่ที่ทางเดินหายใจ ซึ่งพบมากที่สุด คือ เกิดหูดที่กล่องเสียง ทำให้เสียงแหบ และ เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

วิธีป้องกันการเกิดหูดหงอนไก่

การรักษาในปัจจุบัน ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ดังนั้นการป้องกันการเกิดหูดหงอนไก่ เป็นสิ่งที่ควรทำ และ ทำได้ง่ายกว่าการรักษาโรค โดยต้องลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคทั้งหมด สามารถสรุปได้ ดังนี้

  • ไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่นอนของตน
  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยการสวมถุงยางอนามัย
  • เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี

โรคหูดงอนไก่ ( Genital wart ) คือ การติ่งเนื้อ ก้อนผิวหนังที่อวัยวะเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV เรียกอีกชื่อว่า หูดอวัยวะเพศ หรือ หูดกามโรค เกิดได้กับทุกเพศ อาการของโรค คือ เกิดติ่งเนื้อขรุขระที่อวัยวะเพศ หรือ ทวารหนัก  ไม่เจ็บ และ ไม่อันตราย สาเหตุ อาการ การรักษา และ การป้องกัรนโรคทำอย่างไร


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove