โรคกระดูกพรุน ภาวะกระดูกแตกหักง่าย พบมากในสังคมผู้สูงอายุ เกิดมากกับสตรีวัยหมดประจำเดือน สาเหตุของกระดูกพรุนเกิดจากอะไร แนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนทำอย่างไร

โรคกระดูกพรุน โรคข้อและกระดูก โรคไม่ติดต่อ โรคผู้สูงอายุ

โรคกระดูกพรุน ( Osteoporosis ) คือ ภาวะมวลกระดูกของร่างกายต่ำกว่ามาตรฐานจากขาดสารอาหารแคลเซียม ทำให้ปริมาณเนื้อกระดูกบาง ทำให้กระดูกจะแตกหักง่าย เป็นโรคที่ทรมาน พบมากในกลุ่มสตรีที่อายุมาก และ ผู้สุงอายุ และ ภาวะกระดูกพรุน เป็นโรคข้อและกระดูก อัตราการเกิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน พบว่า 50 % พบในสตรี และ 20 % พบในเพศชายที่อายุเกิน 65 ปี

มวลกระดูก

มวลกระดูก คือ ความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ มีเครื่องมีในการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก (Bone mineral density) คือ เครื่อง DXA ( Dual-energy X-ray absorptiometry ) ซึ่งการแบ่งระดับของมวลกระดูก สามารถแบ่งได้ 4 ระดับ โดยรายละเอียด ดังนี้

  • มวลกระดูกปกติ ( Normal bone ) ค่ามวลกระดูกอยู่ในช่วง 1 SD
  • มวลกระดูกบาง ( Osteopenia ) ค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างช่วง -1 ถึง -2.5 SD
  • มวลกระดูกพรุน ( Osteoporosis ) ค่ามวลกระดูกต่ำกว่า -2.5 SD
  • มวลกระดูกพรุนอย่างรุนแรง ( Severe or Established osteoporosis ) ค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากกว่า -2.5 SD

สถานการณ์ของโรคกระดูกพรุนในปัจจุบัน

ปัจจุบันทั่วโลกมีสตรีป่วยมีภาวะกระดูกพรุน มากถึง 200 ล้านคนทั่วโลก โดยครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยอยู่ในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา ส่วนที่เหลืออยู่ในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศในแถบคาบสมุทรแปซิฟิก ซึ่งพบมากในสตรีกลุ่มวัยหมดประจำเดือน พบว่ากลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้หญิง 1 ใน 3 คน และ ผู้ชาย 1 ใน 5 คน มีโอกาสเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน สำหรับคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงโรคกระดูกพรุนสูงถึง 60% โดยบริเวณกระดูกแตกหักง่ายที่สุด คือ กระดูกปลายแขน กระดูกต้นแขน กระดูกสะโพก และกระดูกสันหลัง

โรคกระดูกพรุนในประเทศไทย

โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ ข้อมูลจากมูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2552 พบว่าอัตราการตายหลังจากกระดูกสะโพกหัก ภายใน 5 ปี มีมากถึงร้อยละ 30 และสถิติจำนวนประชากรตั้งแต่ปี 2555 พบว่า จำนวนประชากรผู้สูงอายุของประเทศไทยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว และ อัตราจำนวนสตรีมากกว่าเพศชายถึง 3 เท่า ซึ่งทำให้ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนก็จะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องคาดเดา โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 70 ปีขึ้นไป

ชนิดของโรคกระดูกพรุน

สำหรับโรคกระดูกพรุนที่พบเห็นในปัจจุบัน สามารถแบ่งชนิดของโรคจากสาเหตุของกระดูกพรุน 2 ชนิด คือ โรคกระดูกพรุนปฐมภูมิ และ โรคกระดูกพรุนทุติยภูมิ รายละเอียด ดังนี้

  • โรคกระดูกพรุน ชนิดปฐมภูมิ ( Primary osteoporosis ) เป็นภาวะกระดูกพรุนที่มีสาเหตุจากสุขภาพของมวลกระดูกผิดปรกติเอง เกิดจากภาวะการขาดฮอร์โมนเพศตามวัยและการเสื่อมของร่างกายตามวัย สามารถแบ่งได้ใน 2 กลุ่มผู้ป่วย คือ กลุ่มผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน ( Postmenopausal osteoporosis หรือ Osteoporosis type I )  และ ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ ( Senile osteoporosis หรือ Osteoporosis type II )
  • โรคกระดูกพรุน ชนิดทุติยภูมิ ( Secondary osteoporosis ) เป็นภาวะกระดูกพรุนที่มีสาเหตุจากภาวะอื่นๆที่ไม่ได้เกิดจากตัวกระดูกเอง เช่น ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเกี่ยวกับระบบฮอร์โมนร่างกาย การขาดสารอาหาร การใช้ยาบางชนิด รวมถึงการสูบบุหรี่

สาเหตุของการเกิดโรคกระดุกพรุน

สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคกระดูกพรุน เทคโนโลยีและความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แท้จริงของภาวะกระดูกพรุ่น แต่พบว่าเกิดจาก การขาดความสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก ( Osteoblast ) และ เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูก ( Osteoclast ) โดยปัจจัยของการทำให้กระดูกพรุน สามารถสรุปได้ดังนี้

  • ความเสื่อมของร่างกายตามอายุ เมื่อร่างกายอายุมากขึ้น ระบบกระดูกก็เปลี่ยนไปตามอายุการใช้งาน
  • ภาวะการขาดฮอร์โมนเพศ เนื่องจากฮอร์โมนเพศมีหน้าที่ช่วยการสร้างเซลล์กระดูก สตรีหลังหมดประจำเดือนจึงมีความเสี่ยงภาวะกระดูกพรุนสูง
  • ภาวะทางโภชนาการ การรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่สำคัญต่อกระดูก ส่งผลต่อสุขภาพของกระดูก
  • ภาวะการพักผ่อนและการออกกำลังกาย การพักผ่อนทำให้ร่างกายได้พื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาพร้อมใช้งานหากขาดการพักผ่อนร่างกายจะเสื่อมโทรม รวมถึงการออกกำลังกายทำให้กระตุ้นการเคลื่อนไหว ทำให้กระตุ้นการทำงานของเซลล์กระดูก
  • ภาวะการถ่ายทอดทางพันธุกรรม กลุ่มคนที่มีคนในครอบครัวเกิดโรคกระดูกพรุน มีความเสี่ยงสูงกว่าทั่วไป
  • ภาวะโรคแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ เช่น โรคไทรอยด์ โรคเนื้องอกของต่อมใต้สมอง เป็นต้น

อาการของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน

ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจะไม่แสดงอาการผิดปรกติของอวัยวะอื่นๆ นอกจากเกิดที่กระดูกและความเจ็บปวดจากกระดูกหักเท่านั้น ไม่มีสัญญานเตือนการเกิดโรค ซึ่งอาการโรคกระดูกพรุน โดยทั่วไป คือ กระดูกหักได้ง่าย โดยเฉพาะ ปลายกระดูกแขน กระดูกข้อมือ และ เกิดการยุบ ตัวของกระดูกสันหลัง หรือ กระดูกสันหลังเสื่อม หลังจากมีภาวะกระดูกแตกหักจะทำให้เกิดอาการปวดกระดูกแบบเรื้อรัง ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปรกติได้

การรักษาโรคกระดูกพรุน

สำหรับการโรคกระดูกพรุน ไม่สามารถรักษาให้กระดูกกลับคืนสภาพเดิมได้ ซึ่งแนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุน จะใช้การประคับประครองร่างกายให้ความเสื่อมของมวลกระดูกลดลง รักษาตามอาการ ด้วย ยา การผ่าตัด และ การปรับสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกหัก แนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุน มีดังนี้

  • การใช้ยารักษาโรค ซึ่งยาที่ใช้ในการักษาเป็นยากลุ่มยาฮอร์โมนเพศหญิง ยาเพื่อรักษาระดับฮอร์โมนเพศ ที่มีผลต่อการรักษาสภาพของมวลกระดูกให้เสื่อมช้าลง
  • การผ่าตัด เพื่อรักษากระดูกที่แตกหัก เพื่อลดความเจ็บปวดจากเนื้อเยื่ออักเสบ
  • การปรับสิ่งแวดล้อม เช่น หลีกเลี่ยงการขึ้นที่สูง ปรับสิ่งแวดล้อมป้องกันการหกล้ม ที่เป็นสาเหตุของกระดูกหัก

การป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนเกิดจากสุขภาพของมวลกระดูกลดลง ซึ่งมีหลายสาเหตุที่ทำให้มวลกระดูกเสื่อมลง แนวทางการป้องกันสามารถป้องกันที่ปัจจัยของการเกิดโรค แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุน มีดังนี้

  • เลิกสูบบุหรี่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ปรับสภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อลีกเลี่ยงอุบัติเหตุจากทำให้หกล้ม

โรคกระดูกพรุน ภาวะกระดูกแตกหักง่าย โรคที่พบมากในสังคมผู้สูงอายุ เกิดมากกับสตรีวัยหมดประจำเดือน สาเหตุของกระดูกพรุนเกิดจากอะไร แนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนทำอย่างไร

รูมาตอยด์ เยื่อหุ้มข้อกระดูกอักเสบเรื้อรัง ทำให้นิ้วมือนิ้วเท้าผิดรูป ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรค หากไม่รักษาทำให้พิการได้ รักษาได้ด้วยยา ผ่าตัด กายภาพบำบัดข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้ออักเสบ โรคไม่ติดต่อ โรคกระดูก

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ( rheumatoid arthritis ) คือ ภาวะเยื่อหุ้มข้ออักเสบเรื้อรัง เป็นโรคในกลุ่มภูมิต้านตนเอง มีอาการอักเสบอย่างรุนแรงที่ข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า หากไม่รักษาทำให้พิการได้ เนื่องจากเยื่อบุข้อเจริญงอกงามอย่างมาก จนลุกลามและทำลายกระดูก และ ข้อต่อในที่สุด โรคนี้มิได้เป็นแต่เฉพาะข้อเท่านั้น ยังอาจมีอาการทางระบบอื่น ๆ อีก เช่น ตา ประสาท กล้ามเนื้อ เป็นต้น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ พบมากในกลุ่มคนสองช่วงอายุ คือ ช่วงอายุ 20 ถึง 30 ปี ( พบมากในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ) และ 50 ถึง 60 ปี ( พบได้ในทั้งเพศชายและหญิงเท่าๆกัน)

สาเหตุของการเกิดโรครูมาตอยด์

สาเหตุของโรคการเกิดโรครูมาตอยด์ ในปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัดได้ แต่พบว่าร้อยละ 10 ของผู้ป่วยโรครูมาตอยด์เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม มีข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อบางชนิด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส นอกจากนี้ความผิดปรกติของฮอร์โมนในร่างกายก็อาจเป็นสาเหตุได้

อาการของโรครูมาตอยด์

สำหรับอาการป่วยของผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ จะแสดงอาการเริ่มต้นด้วยอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร จากนั้นจะปวดข้ออย่างรุนแรงจะตามมา โดยเฉพาะข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า รวมถึงมีอาการปวดที่ข้อกระดูกใหญ่ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก ซึ่งอาการปวดจะปวดในขณะที่ข้อกระดูกไม่ได้ใช้งาน เช่น ปวดกระดูกหลังตื่นอน ปวดกระดูกกลางดึก หรือ ปวดกระดูกขณะพักผ่อนอยู่เฉยๆ แม้กินยาแก้ปวดอาการปวดก็ไม่หาย

ลักษณะการผิดรูปร่างของข้อที่พบ มีหลายลักษณะแตกต่างกันตามจุดที่เกิด มีรายละเอียดดังนี้

  • หากเกิดที่ข้อนิ้วมือและข้อมือ จะมีการผิดรูป 3 แบบ คือ แบบรูปร่างคล้ายตัวหนังสือ Z เรียก Z deformity แบบคอห่าน เรียก Swan neck deformity และ แบบข้อนิ้วมือส่วนต้นงอเข้าหาฝ่ามือ เรียก Boutonniere deformity
  • การเกิดที่ข้อมือ จะทำให้ข้อมือขยับไม่ได้ และพังผืดจะเกิดรอบๆข้อ และไปกดทับเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้ปวดและชาที่มือและกล้ามเนื้อมือ
  • การเกิดที่ข้อเท้า และ ข้อนิ้วเท้า ทำให้พิการถึงขั้นเดินไม่ได้
  • การเกิดที่ข้อศอก จะทำให้ข้อศอกหด และ งอ ทำให้ยืดข้อศอกไม่ได้
  • การเกิดที่ข้อเข่า จะทำให้เข่าหดงอ ส่งผลกระทบต่อการเดิน
  • การเกิดทั้ข้อกระดูกสันหลังส่วนคอ อาจส่งผลให้กระดูกเลื่อนหลุด และไปกดเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้เกิดอาการปวดและชา แขนอ่อนแรง เป็นอัมพาตได้

การรักษาโรครูมาตอยด์

สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โรคนี้สามารถกลับมาเป็นอีกครั้งได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อ และพบแพทย์เป็นระยะๆ โดยแนวทางการรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์  สามารถทำได้โดยการบรรเทาอาการของโรค ร่วมด้วยการผ่าตัดและการทำกายภาพบำบัดร่วม โดยรายละเอียดของการรักษาโรค มีดังนี้

  • การใช้ยารักษา เพื่อบรรเทาอาการของโรค เช่น การให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ การให้ยาแก้อักเสบ และ การให้ยายับยั้งข้ออักเสบ
  • การทำกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันกระดูกผิดรูป โดยวิธีการประคบร้อน แช่น้ำอุ่น ให้ผู้ป่วยขยับตัวให้มาก เพื่อป้องกันข้อแข็งและผิดรูป
  • การฝ่าตัด ทำเพื่อเลาะเยื่อบุข้อกระดูกที่การอักเสบ ผ่าตัดซ่อมแซมเชื่อมข้อติดกัน ผ่าตัดกระดูกปรับแนวข้อกระดูกให้ตรง หรือใส่ข้อเทียม แต่การผ่าตัดนั้นเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เพื่อบรรเทาอาการของโรครูมาตอยด์ เท่านั้น

การป้องกันการเกิดโรครูมาดอยด์

เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด การป้องกันจากสาเหตุของโรคจึงเป็นเรื่องยาก การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงจึงเป็นแนวทางการป้องกันโรคที่ดี แนวทางการป้องกันโรครูมาตอยด์ มีดังนี้

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • พักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่เกณฑ์มาตราฐาน
  • หลีกเลี่ยงความเสี่ยงกิจกรรมที่ทำลายข้อ เช่น ยกของหนัก กระโดด นั่งยองๆ เป็นต้น

ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เยื่อหุ้มข้ออักเสบเรื้อรัง ทำให้นิ้วมือนิ้วเท้าผิดรูป ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่ชัดเจน หากไม่รักษาทำให้พิการได้ สามารถรักษาได้ด้วยยา การผ่าตัด และ ทำกายภาพบำบัด


ขายถุงกระสอบ ถุงสายรุ้ง ย้ายหอ ย้ายบ้าน ต้องการถุงกระสอบ ถุงกระสอบราคาโรงงาน
ติดต่อ ทรัพย์ทวี Line Id : nongnlove